"บัวน้อยกอลิล่า" ตัวสุดท้ายของไทยในสวนสัตว์พาต้า กับประเด็นที่ทส. เผยว่า สวนสัตว์ตกลงราคาขายในราคา 30 ล้าน เพื่อส่งกลับเยอรมนี ล่าสุด ทางสวนสัตว์ชี้แจงแล้ว
ข่าวที่น่าสนใจ
“บัวน้อยกอลิล่า” เพศเมียคู่แรกที่จัดแสดงในประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535 ส่งจากประเทศเยอรมนี จนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ต่อมาตัวผู้ได้ตายลง บัวน้อยจึงกลายเป็นกอริลลาตัวสุดท้ายในประเทศไทย หลังเข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส (CITES) จึงไม่สามารถนำกอริลลาเข้าไทยได้อีก
หลังจากนั้นในปี 2557 หลายฝ่ายก็พยายามรณรงค์ให้ย้ายเจ้าบัวน้อยไปยังที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมกว่าเดิมผ่านแคมเปญต่าง ๆ กลุ่มคนรักสัตว์ต่างยื่นรายชื่อต่ออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อให้มีการจัดหาที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมกว่าเดิม
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่าน เจ้าบัวน้อยกลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามองอีกครั้ง หลังนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เผยว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ มีโครงการที่จะพาเจ้าบัวน้อยกลับบ้านเกิดในประเทศเยอรมนี ในช่วงบั้นปลายชีวิต ซึ่งจะมีเพื่อนฝูงตระกูลกอริลลาอยู่ด้วย โดยได้มีการสอบถามไปยังเจ้าของสวนสัตว์พาต้า และเจ้าของบอกขายเจ้าบัวน้อยในราคา 30 ล้านบาท
ซึ่งที่ผ่านมาทางกระทรวงและองค์การสวนสัตว์ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนเรื่องสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของบัวน้อย ที่ต้องอาศัยอยู่ในกรงอย่างโดดเดี่ยวนานกว่า 30 ปี และอยากในช่วงสุดท้ายของชีวิตอยากให้ได้อยู่กับสัตว์ในตระกูลเดียวกัน ซึ่งทางกระทรวงอยากทำกิจกรรมวิ่งเพื่อบัวน้อย เพื่อรวบรวมเงินบริจาคแต่ติดขัดเรื่อง บัวน้อยเป็นสมบัติส่วนตัวของสวนสัตว์ และบอกขายราคาสูงเกินไป ซึ่งการเป็นเจ้าของนั้นเกิดก่อนที่ประเทศไทยจะประกาศใช้กฏหมาย การซื้อขายสัตว์ป่าและพืชป่าชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์
ล่าสุด ทางสวนสัตว์พาต้าได้ออกแถลงการณ์กรณีข่าวการขาย “บัวน้อยกอลิล่า” ในราคา 30 ล้าน โดยชี้แจงว่า ผู้บริหารของห้างฯ พาต้าในชุดปัจจุบัน ได้เข้ามาบริหารงานตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2563 ซึ่งจนถึงวันนี้ทางผู้บริหารผู้มีอำนาจตามกฎหมายของบริษัท ขอยืนยันว่า ไม่เคยเจรจาซื้อขายบัวน้อยกับผู้ใด และหน่วยงานใด
ในทางกลับกัน ยังปฏิเสธการเคลื่อนย้ายบัวน้อย ตามที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เคยสอบถามและได้ตอบกลับไปอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยสาเหตุที่ไม่มั่นใจในการปรับตัวของบัวน้อย ลิงกอริลลาในวัยชราที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วยความคุ้นเคยต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดเชื้อโรคใด ๆ เป็นเวลากว่า 30 ปี
ทั้งนี้ ผู้บริหารชุดปัจจุบันขอย้ำอีกครั้งว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีผู้หนึ่งผู้ใด หรือหน่วยงานใดที่สนใจติดต่อเข้ามาเพื่อใช้เวลาศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลจากในสถานที่ และตัวตนที่แท้จริงของบัวน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ให้สัมภาษณ์ หรือตลอดจนผู้ที่คิดจัดตั้งโครงการใด ๆ เกี่ยวกับบัวน้อยนั้น ก็ยังไม่เคยมีผู้หนึ่งผู้ใด เข้ามาศึกษาใช้เวลาในสถานที่แห่งนี้ ถึงความเป็นไปได้ในโครงการของตนเองก่อนการนำเสนอ ซึ่งถือเป็นความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากสำหรับการเลี้ยงลิงกอริลลาให้อยู่รอดภายในสวนสัตว์
ซึ่งที่ผ่านมาในแง่นี้ถือเป็นความสำเร็จที่ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นที่พิสูจน์ได้ จนวันนี้บัวน้อยอยู่ในวัยชรา บั้นปลายสุดท้ายของชีวิตตามอายุขัยของลิงกอริลลา ซึ่งทางสวนสัตว์พาต้าเองก็ได้มีการประชุมเรื่องการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ด้วยความตระหนักดีว่า ในอายุขัยเช่นนี้ บัวน้อย ลิงกอริลลาล้ำค่าตัวสุดท้ายของประเทศไทย สามารถตายจากเราไปได้ทุกเมื่อ
และเป็นการยากถึงยากที่สุดที่นับต่อจากนี้อีกหลายปีหรือหลายสิบปี จะได้มีโอกาสได้เห็นลิงกอริลลาตัวต่อไปภายในประเทศไทยของเรา หากแต่มุมมองของความต้องการให้บัวน้อยกลับไปตายที่ประเทศต้นกำเนิดตามที่หลายฝ่ายต้องการนั้น อาจเป็นเรื่องที่สามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปได้ แต่ผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องต่อกิจการสวนสัตว์ ไม่สมควรใช้คำว่าติดคุกกับสัตว์ในสวนสัตว์
ทั้งนี้ ทางสวนสัตว์พาต้าจะไม่ขอกล่าวถึงสนธิสัญญาไซเตส (CITES) ที่ห้ามซื้อขายสัตว์ต้องห้ามบางจำพวก เช่น ลิงกอริลลา เพียงแต่ต้องการให้ข้อมูลความจริงว่า ที่ผ่านมา สวนสัตว์พาต้าได้ให้ความรักและการดูแลเอาใจใส่กับบัวน้อยอย่างดีที่สุด ถึงแม้ระยะหลังบริษัทจะต้องประสบกับภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารผู้มีอำนาจจะได้เจรจาหรือตั้งราคาบัวน้อย เพื่อให้ได้มาซึ่งการทดแทนด้วยผลกำไรจากสิ่งที่เรารัก และหวงแหนมากที่สุด
สุดท้าย ขอให้ข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ความเข้าใจ จากผู้ที่มีความรัก ความผูกพันต่อสิ่งมีชีวิต เช่นบัวน้อยและทีมงานสวนสัตว์พาต้า …. จากใจ
ข้อมูล : สวนสัตว์พาต้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง