นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของพรรคในช่วงที่ผ่านมา ที่สมาชิกจำนวนหนึ่งลาออกไป ว่า เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งก็มีทั้งคนเข้าคนออกกันทุกพรรค ไม่มีพรรคไหนเป็นข้อยกเว้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในทางการเมือง
“ความถี่ของคนเข้าคนออก ไม่ใช่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่หมายถึงทุกพรรค เราก็จะเห็นปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น เพราะบางครั้งมันมาจากหลายสาเหตุ เช่น บางพรรคมีผู้สมัครเกิน 2-3 คน อาจตัดสินใจให้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นคนที่พรรคตัดสินใจที่จะไม่เลือก ถ้าต้องการที่จะลงสมัครผู้แทน ก็ต้องไปหาพรรคการเมืองใหม่ จึงมีความจำเป็นที่ต้องการย้ายพรรค อาจจะเกิดขึ้นในบางพรรค เมื่อถึงเวลาลงสมัครรับเลือกตั้ง อาจจะมีเงื่อนไข แล้วบางพรรคไม่สามารถสนองตอบความต้องการได้ หรือได้ไม่ครบถ้วน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในการย้ายพรรค หรือบางครั้งอยู่ในพรรคเดิม จนถึงทางตันแล้ว หากไปอยู่พรรคอื่น หรือพรรคใหม่อาจจะมีโอกาส หรือมีคนมาเสนอให้ ก็อาจจะเป็นเหตุผลในการตัดสินใจที่จะย้ายพรรค แต่ละสาเหตุก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละคน”
สำหรับสถานการณ์ถูกดูดลูกพรรคหลังการประชุมเอเปค นายจุรินทร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีคนใหม่เดินเข้าพรรคก็เยอะ แต่คนที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ตนก็ไม่สามารถจะไปตอบได้ว่าใครจะอยู่ ใครจะย้ายอย่างไร แต่ในการตั้งพรรคการเมืองนั้น ถ้านับหนึ่งตั้งพรรคเพื่อจะมาดูดคนจากพรรคโน้นพรรคนี้ไป แล้วไปตั้งเป็นพรรคการเมือง สุดท้ายจะกลายเป็นพรรค “รวมพลคนย้ายพรรค”
“ประวัติศาสตร์สอนเราว่าไม่ยั่งยืน สุดท้ายจะกลายเป็นพรรคเฉพาะกิจ เพื่อสนับสนุน นาย ก. นาย ข. พอหมดภารกิจก็ยุบพรรค หรือไม่ก็ต้องเลิกราไปโดยปริยาย เพราะประชาชนไม่สนับสนุน แล้วสุดท้ายพรรคเหล่านั้นก็ล้มหายตายจากไป ผมคิดว่าเราเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีต่อเนื่องกันมาในวงการการเมืองไทย แล้วผมคิดว่าประชาชนก็ได้เห็นบทเรียนกับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว เพราะฉะนั้นการตั้งพรรคการเมือง ควรจะเป็นเรื่องของการเอาคนที่ตั้งใจ และมีอุดมการณ์เดียวกันในการมาสร้างพรรคขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เป็นสถาบันทางการเมืองจริงๆ แต่ไม่ใช่ไปดูดพรรคโน้นมา 5 คน ดูดพรรคนี้มา 7 คน แล้วมารวมกันกลายเป็นพรรคเฉพาะกิจ เราก็เห็นอยู่แล้วว่าชะตากรรมพรรคการเมืองแบบนี้เป็นอย่างไร ประชาชนไม่ควรสนับสนุน เพราะเป็นเรื่องเฉพาะกิจจริงๆ เป็นเรื่องของการให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากกว่าความเป็นพรรคการเมือง”