นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights: OHCHR) เห็นถึงความพยายามของรัฐบาล โดยชื่นชมประเทศไทยที่ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชน UN ชื่นชมไทยที่ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ยืนยันขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ยกระดับการคุ้มครองสิทธิตามมาตรฐานสากล
ข่าวที่น่าสนใจ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมองว่า พระราชบัญญัติฯ ซึ่งประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิบัติตามคำมั่นของไทยเพื่อขจัดการกระทำทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหายให้หมดสิ้น และเป็นการให้ความยุติธรรมกับผู้เสียหายจากการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งพระราชบัญญัติฯ มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องสิทธิในการที่จะไม่ถูกทรมานเป็นสิทธิมนุษยชนที่ไม่อาจระงับชั่วคราวได้ (non-derogation) และหลักการไม่ส่งใครกลับไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) ซึ่งป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ขับไล่ เนรเทศ หรือส่งบุคคลใดไปยังอีกประเทศหนึ่งที่อาจเผชิญความเสี่ยงต่อการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย
นอกจากนี้ สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังชื่นชมไทยที่ปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้ในการทบทวนสิทธิมนุษยชนครั้งล่าสุดตามกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) และระบุว่า หลังจากที่มีกรอบกฎหมายบังคับใช้ในประเทศแล้ว ประเทศไทยสามารถดำเนินการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) และ พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Optional Protocol to the Convention against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment) ในลำดับถัดไป และพร้อมให้การสนับสนุนทางเทคนิคแก่รัฐบาลตามที่มีความจำเป็นอีกด้วย
“รัฐบาลภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีมีความมุ่งมั่นที่จะบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ แก้ไขปัญหาการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ ด้วยมุ่งหวังขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง และสร้างหลักประกันความเป็นธรรมให้กับประชาชน รวมทั้งยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล และสร้างความเชื่อมั่นด้านกระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง