ความเปลี่ยนแปลงในพรรคการเมืองถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกพรรคต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ พรรคใหม่หรือพรรคเก่า ยิ่งเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดในวงการจนได้รับฉายาว่า “สถาบันการเมือง” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่วันนี้ยืนหยัดอยู่มายาวนานถึง 77 ปี เป็นธรรมดาที่ต้องมีคลื่นลม มรสุมและพายุถาโถมเข้ามาหาบ้าง เที่ยวนี้พ.ศ.2565 ก็เหมือนกัน ดูเหมือนเป็นอีกครั้งที่น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกคราวของพรรคสีฟ้า เค้าลองของรอบนี้เริ่มเห็นชัดเจนภายหลัง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ อดีตรมว.ยุติธรรมยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังพ่ายแพ้การช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8 ต่อ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน จนต้องระเห็จออกจากพรรคมาตามความฝันและอุดมการณ์ของตัวเอง เช่นเกียวกับกรณ์ จาติกวณิช ที่ไปตั้งพรรคกล้าก่อนจะมาผนึกกำลังกับพรรคชาติพัฒนาจนกลายมาเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าในปัจจุบัน หรือย้อนอดีตไปก่อนนั้นก็เป็น หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก ที่ออกมาตั้งพรรคไทยภักดี
หลังไขก๊อกจากพรรคสีฟ้าไม่นาน พีระพันธุ์ก็ถูก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทาบทามมาช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะบิ๊กตู่รู้ฝีไม้ลายมือของพีระพันธุ์ดีอยู่แล้วว่ามีมากขนาดไหน ก่อนมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษานายกฯ ดูงานหินๆยากๆหลายเรื่อง อาทิ การปรับโครงสร้างการบินไทย เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพรรค แม้กระทั่งช่วงหนึ่งบิ๊กตู่ถึงขนาดส่งพีระพันธุ์เข้าไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ โดยเชื้อว่าจะเอา “น้ำดี” ไปนำ “น้ำเสีย” ในองค์กร แต่อย่างที่รู้พรรคพลังประชารัฐมีแต่นักการเมืองประเภทเขี้ยวรากดิน “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” แถมหัวหน้าพรรคอย่าง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ก็เป็นนักการเมืองประเภท “ไม่รู้-ไม่รู้” ถ้าเป็นพวกกูส่งเสริมรับฟังทำตามหมด แต่ถ้าเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามอยู่คนละด้านกัน ต่อให้ขยันสุดๆดีให้ตายเก่งชนิดหาตัวจับยาก ลุงป้อมก็ไม่มีวันเอามาใช้งาน กรณีที่เกิดขึ้นกับ “แรมโบ้อีสาน” ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพีระพันธุ์ก็คล้ายๆกัน คือ เป็นคนดี คนเก่ง คนขยัน แต่กลับไม่ถูกลุงป้อมกับพรรคพลังประชารัฐเอาไปใชงานให้เป็นประโยชน์โพดผลแก่องค์กรเลย ที่สุด 2 ขุนพลต้องจำใจย้ายหนีออกจากพรรค
แรมโบ้อาจจะขลุกๆขลักๆ ในการไปตั้งพรรคใหม่ แต่ตอนนี้ก็สามารถตั้งพรรค “เทิดไท” ได้สำเร็จ ต่างจากพีระพันธ์ที่ถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรคใหญ่อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เดิมก็เป็นแรมโบ้นี้แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีทำพรรคนี้มาตั้งแต่แรก ก่อนมาสะดุดเจอพิษปัญหาหวยออนไลน์บวกกับเรื่องของการยืมเงินคนรู้จัก จนแรมโบ้ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคถอยห่างออกไป และก็เป็นพีระพันธุ์นี้แหละที่ถูกชูขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่โดยหนีบอดีตส.ส.เก่าพรรคประชาธิปัตย์หลายคน เข้ามานั่งเป็นกรรมการบริหารพรรค อาทิ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ วิทยา แก้วภราดัย ชื่นชอบ คงอุดม วิสุทธิ์ ธรรมเพชร เกรียงยศ สุดลาภา ฯลฯ รวมไปถึง “ลูกหมี” ชุมพล จุลใส ส.ส.เบอร์ใหญ่จ.ชุมพร และอดีตส.ส.อีกหลายคน อย่างที่รู้ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ แรกเริ่มเดิมทีของการตั้งพรรคก็เพื่อจะมาเป็น “พรรคอะไหล่” หรือ “พรรคสำรอง” กรณีที่บิ๊กตู่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนตั้งพรรคใหม่ๆ เมื่อ 31 มี.ค.2564 โดยฝีมือของแรมโบ้ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจ ไม่เชื่อว่าที่สุดแล้วบิ๊กตู่จะมาอยู่กับพรรคนี้จริงๆ เพราะยังไม่มีสัญญาณหรือเหตุการณ์อะไร แต่ภายหลังพอเกิดปัญหาระหว่างบิ๊กตู่กับ “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ทั้งเรื่องเลื่อยขา ทั้งเรื่องแจกกล้วยหวังค่ำนายกฯในสภากลางศึกซักฟอกปี 64 เรื่อยมาจนถึงการปลดร.อ.ธรรมนัสพ้นครม. และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอีกหลายกรณี หลายคนก็เริ่มจับตามองพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงบางอ้อก็วันที่พีระพันธุ์มาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหลังจากไขก๊อกออกจากพรรคพลังประชารัฐแบบเจ็บช้ำเพราะไม่โดนลุงป้อมใช้งานเลย
3 ส.ค.2565 พีระพันธุ์ได้รับการคัดเลือกขึ้นเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีคนของพรรคประชาธิปัตย์ลาออกและตามมาอยู่กันเป็นพรวน นั้นเป็นสัญญาณแรกในการเตือนพรรคประชาธิปัตย์แล้วว่ามรสุมกำลังจะมา จากนั้นก็เริ่มมีคนในพรรคประชาธิปัตย์เริ่มติดต่อที่จะมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติมากขึ้น ล่าสุดก็เป็นระดับ “ตำนาน” อาวุโสของพรรคอย่าง “ด็อกเตอร์สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ทิ้งอู่ข่าวอู่น้ำอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ปิดฉาก 36 ปี ด้วยประโยคทองว่า “ อยากขอมีลมหายใจเป็นของตัวเองสักครั้งในบั้นปลายชีวิตทางการเมือง” แต่สำหรับ ส.ส.บางส่วนที่อยากย้ายพรรค ก็ยังรอดูท่าทีว่าที่สุดแล้วบิ๊กตู่จะมาเป็นหัวขบวนให้พรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ ถ้าบิ๊กตู่มาจริงเชื่อว่าในพรรคประชาธิปัตย์คงตามมาอีกบานแน่ๆ นอกเหนือ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่แจ้งกับแกนนำพรรคว่าจะไปพรรครวมไทยสร้างชาติแน่นอนแล้ว ที่มีข่าวว่าจะตามไปอีกก็มี “แม่เลี้ยงติ๊ก” ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มีความสนิทสนมกับพีระพันธุ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “เจ๊โอ๋” รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ที่บอกจุรินทร์แล้วว่ากลัวสอบตกเพราะคะแนนเสียงของพรรคไม่ดีในเขตตัวเอง สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร ขนาดเป็นเด็กนายชวนพรรคยังไม่ส่งลง พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ส.ส.นครปฐม วชิราภรณ์ กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ฯลฯ ส่วนที่จะออกจากพรรคสีฟ้าแต่ไปพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มีศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย และ บุณย์ธิดา สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี ที่จะไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ฯลฯ
กระแสข่าวการไหลออกจากพรรคสีฟ้าไปพรรครวมไทยสร้างชาติที่เกิดขึ้น ข่าวว่าทำให้ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับควันออกหู โดยเฉพาะเบอร์ใหญ่ยอดธงของพรรคสีฟ้าอย่าง ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถึงขนาดคุยกับคนในพรรคเป็นการภายใน ตำหนิบิ๊กตู่ที่ “ปากว่าตาขยิบ” กับภาวะเลือดไหลที่เกิดขึ้นในพรรคตอนนี้ ประมาณว่าเออออห่อหมก ขยิบตาให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ หลักฐานที่เห็นชัดเจนคือพอไตรรงค์ออกจากพรรคไม่นาน บิ๊กตู่ก็ตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯทันที แถมมีข่าวว่าอนาคตไม่แคล้วดร.ไตรรงค์ก็คงไปร่วมหัวจมท้ายกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตอนนี้เด็กเก่าพรรคสีฟ้าถูกดึงไปกองรวมกันที่พรรคใหม่ในซอยอารีย์หมด ที่ตั้งก็ห่างจากพรรคเดิมไม่มากหนำซ้ำว่าอาจจะมีทยอยออกกันอีกบาน โดยเฉพาะหากบิ๊กตู่ประกาศออกมาชัดๆหลังเอเปกว่าจะไปเป็นหัวให้พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อเป็นนายกฯ แบบไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคไม่ต้องเป็นหัวหน้า ใช้ออปชั่น “คนกลาง” ส.ส.พรรคไหนโหวตเลือกให้เป็นนายกฯก็ได้เหมือนคราวเลือกตั้งรอบที่แล้ว แบบนี้ส.ส.ทุกพรรคก็เลือกโหวตให้ได้หมด
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ก็น้ำท่วมปาก อยากด่าบิ๊กตู่ใจจะขาดก็ด่าได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นนายกฯเป็นผู้นำรัฐนาวาเรือแป๊ะพวกเดียวกันเอง แต่พรรครวมไทยสร้างชาติใช้วิธีการ “ตกปลาในบ่อเพื่อน” แบบนี้ก็ดูจะไม่สง่างาม ตอนนี้แกนนำพรรคสีฟ้าต่อให้เข็ดเขี้ยวบิ๊กตู่ขนาดไหน เต็มที่ก็ได้แค่ด่าพรรครวมไทยสร้างชาติระบายอารมณ์ไปพลางๆ เหมือนอย่าง นิพนธ์ บุญญามณี ผอ.การเลือกตั้งพรรคสีฟ้า ออกมาซัดมีพรรคจ้องทำลายพรรคประชาธิปัตย์ เพราะดึงคนในพรรคไปแบบหน้าด้านๆ เชื่อพวกออกจากพรรคไปไม่มีรุ่ง ขณะที่ฝ่ายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ผู้อาวุโสพรรคอีกคนก็ออกมาสำทับ หยิบยกตัวอย่างเหตุการณ์ “10 มกรา” ที่แกนนำพรรคสมัยนั้นหลายคนก่อเหตุตีรวนจะออกจากพรรค อาทิ เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรณ์ วีระ มุสิกพงศ์ ฯลฯ เลยยกข้ออ้างว่าพรรคไม่มีอุดมการณ์ พรรคจะสูญพันธุ์ ก่อนจะออกไปตั้งพรรคใหม่ ในที่สุดพรรคเหล่านั้นก็ล้มหายตายจาก คนที่ละทิ้งอุดมการณ์ไปก็ไม่พบว่าใครประสบความสำเร็จ ด้าน “เสี่ยตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สธ.ดูเบากว่าใครเพื่อน แค่กระตุกให้ผู้บริหารพรรคออกมาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน มรสุมพรรคประชาธิปัตย์เริ่มขึ้นแล้วเลือดสีฟ้าในพรรคเริ่มไหลแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะไปหยุดไปจบตรงไหน วานนี้แกนนำพรรคหลายคน ทั้งชินวรณ์ “นายกฯชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง “เสี่ยตาล” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รวมทั้งส.ส.นับสิบคนยกคณะไปให้กำลังใจเฉลิมชัยที่บ้านในฐานะแม่บ้านพรรค นัยยะว่าทุกคนยังสู้กับพรรคสีฟ้าต่อไป เอาจริงๆ ปัญหาพรรคประชาธิปัตย์เลือดไหล ด้านหนึ่งคนที่ออกจากพรรคเพราะ “ประยุทธ์เอฟเฟกต์” ก็มีจริงๆ และจะไหลออกอีกมากหากบิ๊กตู่ประกาศไปเป็นหัวให้พรรคใหม่ในซอยอารีย์ แต่คนที่อยากทิ้งพรรคไปเพราะทนปัญหาเดิมๆในพรรคเก่าแก่ไม่ไหวก็มีจำนวนมาก เรื่องของการเล่นพรรคเล่นพวก ถ้าเป็นเด็กจุรินทร์คนของเสี่ยต่อจะรุ่งได้รับการผลักดัน แต่ถ้าเป็นขั้วตรงข้ามสายอื่นเป๊กหมด ตรงนี้ก็รอวัน “ฝีแตก” คนในพรรคก็รู้เรื่องนี้ดี เพราะมีอดีตส.ส.ของพรรคคนเก่าคนแก่หลายคนจะไม่ถูกส่งลงสมัครในการเลือกตั้งคราวหน้า ดูแล้วมรสุมในพรรคประชาธิปัตย์คงยังอยู่อีกยาว
//////////////////////
