หลังรอลุ้นประเด็นร้อนหลายเรื่องทางการเมืองกันมายาวนาน ล่าสุดทุกเรื่องทุกปมก็เหมือนได้รับการคลี่คลายเห็นหน้าเห็นหลังชัดเจนขึ้นแล้ว ล่าสุดวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ฉบับสูตรหาร ๑๐๐ ล่าสุด ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยวินิจฉัยว่ากระบวนการจัดทำกฎหมายลูกดังกล่าวไม่ขัดหลักกฎหมายและเนื้อหาหรือถ้อยคำในร่างดังกล่าวก็ไม่ขัดรัฐธรรมนูญตามที่นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่กับพวกร้องเรียนมา จากนี้ก็เข้าสู่กระบวนการนำกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป โดยกฎหมายจะอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยภายใน ๙๐ วัน ช้าเร็วก็แล้วแต่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา หากกฎหมายลงมาเมื่อไหร่นับจากนั้นก็เรียกว่ากฎกติกามีพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป นายกฯก็สามารถคิดวัน ว. เวลา น. ในการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลย
ขณะที่วันเดียวกันนอกจากสูตรหาร ๑๐๐ จะได้ไฟเขียวจากศาลรัฐธรรมนูญแล้ว การปรับครม.ไม้สุดท้ายของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก่อนครบวาระ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯลงมาเป็นที่เรียบร้อย โดยมีรัฐมนตรีหน้าใหม่ ๓ คนได้รับการโปรดเกล้าฯในคราวนี้ประกอบด้วย ๑. ธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ๒.สุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรและสหกรณ์ ๓.นริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย ถามว่าเซอไพรซ์ไหมก็ไม่ขนาดนั้น ถามว่าผิดหวังไหมที่หน้าตาครม.ใหม่ครั้งสุดท้ายของบิ๊กตู่ออกมาแบบนี้ ถ้าเป็นคอการเมืองขนานแท้ถ้าเป็นคนที่ตามข่าวการเมืองมานาน ก็ต้องบอกว่าการปรับครม.รอบนี้ใช้สูตร “คนละครึ่ง” หนักไปทางน่าผิดหวังสำหรับกองเชียร์บิ๊กตู่ และดูจะไม่สบอารมรณ์สำหรับคนที่มีความคิดทางการเมืองแบบกลางๆ แยกกรณีของนริศออกไปอันนั้นเข้าใจได้ว่าเป็นรายชื่อตามโควต้าของพรรคประชาธิปัตย์ ยังไงก็ต้องปรับให้ตามที่เสนอชื่อมาพลิ้วไม่ได้ ที่นริศก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เป็นแกนนำพรรคอาวุโสสายใต้ เป็นส.ส.พัทลุงมาแล้ว ๕ สมัย มีชื่อลุ้นเป็นรัฐมนตรีหลายครั้งแต่ก็แห้วมาตลอด สมหวังในรอบนี้แบบรอนานถึง ๗ สัปดาห์หลังส่งชื่อไปเป็นชาติ แต่เพราะบิ๊กตู่สติหลุดกำลังยุ่งกับหลายเรื่องเลยไม่หยิบขึ้นมาดำเนินการ ต้องให้ขู่จะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลบิ๊กตู่ถึงดำเนินการให้ ล่าสุดมีชื่อเป็น “มท.๓” คนใหม่แทนที่นิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกไปสมใจพรรคประชาธิปัตย์ ตรงนี้ก็พลอยลดอาการโมโหที่ถูกบิ๊กตู่ดองเค็มรายชื่อไปได้พอสมควร
หันมาดูที่เสี่ยแด๊ก ธนกร หยิบชิ้นปลามันคว้าเก้าอี้รัฐมนตรีคนใหม่ได้สำเร็จ ปล่อยให้ “แรมโบ้”ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ หัวหน้าพรรคเทิดไท ที่เบียดตีคู่ชิงเก้าอี้รัฐมนตรีเหมือนกันต้องรอเพลงรอไปก่อน ความจริงทั้งธนกรทั้งดร.เสกสกล ถามว่าความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ พอไหวไหมก็พอไปได้ แถมเป็นมือซ้ายมือขวาเป็นขุนพลเอกทัพหน้าที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดบิ๊กตู่มาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เรื่องที่ชาวบ้านแคลงใจคนส่วนใหญ่ฉงน ต้องถามนายกฯกันตรงๆว่า ๒ คนนี้ มี “ผลงาน” โบว์แดงอะไรให้ขึ้นชั้นถึงขั้นเป็นรัฐมนตรี นายกฯไม่มีคนเก่งๆไม่มีคนมีฝีมือที่จะมาทำงานแล้วหรือ ตัดสินใจเพราะอะไร ใช้สูตรใช้เหตุผลไหนในการเลือก อธิบายให้คนทราบตอบคำถามให้ชาวบ้านรู้หน่อย ไม่ใช่เสี่ยแด๊กกับแรมโบ้ไม่ดีหรือไม่มีฝีมือ แต่หลายคนกังขาว่าบิ๊กตู่ไม่มีมือฉมังเปิดชื่อมาแล้วปังมากกว่านี้หรือ ผลงานที่คนไทยจำได้ธนกรเป็นโฆษกรัฐบาล เที่ยวไล้เทียวขื่อตามนายกฯตอนถูกศาลรัฐธรรมนูญเบรกการทำหน้าที่สร.๑ ล่าสุดเอาส.ส.ใต้พลังประชารัฐ ๔-๕ คน ไปหาบิ๊กตู่ที่บ้านพักในร.๑รอ. ถัดจากนั้นมาไม่นานก็ได้ขึ้นชั้นเป็นเสนาบดีเลย ขึ้นลิฟต์ใช้วิธีแบบนี้เลยถูกครหาจากชาวบ้าน
อีกตำแหน่งรัฐมนตรีหน้าใหม่ คือ สุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรและสหกรณ์ มาแบบขึ้นลิฟต์เลย เพราะ ๒ วันก่อนยังเป็นรองนายกฯอบจ.สมุทรปราการเคียงคู่ “ซ้อตู่”นันทิดา แก้วบัวสาย ถัดมาไม่กี่วันส้มหล่นขึ้นชั้นเสนาบดีคั่วเก้าอี้ “พญานาค ๓” เป็นอดีตคนตามวัฒนา อัศวเหม เป็นมือขวา “เสี่ยเอ๋” ชนสวัสดิ์ เจ้าพ่อปากน้ำบ้านใหญ่สมุทรปราการปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงได้โอกาสมานั่งเป็นรมต.หน้าใหม่โควต้ากลุ่มปากน้ำ ตามสัญญาใจที่ลุงป้อมเคยรับปากตอนลงพื้นที่เมื่อ ๒๕ ก.ค.ที่ผ่านมา วันที่กรุงศรีวิไล สุทินเผือก ก้มกราบลุงป้อมจนขึ้นหน้า ๑ นั้นแหละ ถือเป็นการตบรางวัลที่กลุ่มปากน้ำกวาดส.ส.เขตได้ ๕ ตัว เป็นบัญชีรายชื่ออีก ๑ คน รวมถึงตบรางวัลที่ก๊วนส.ส.ปากน้ำ ๖ คน เคยยกมือไม่ไว้วางใจ คว่ำ ๒ รัฐมนตรีสายบิ๊กตู่เพื่อเป็นการสั่งสอน คนแรกคือ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.๑ ที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าถึงยาก ไม่เคยรับปากทำอะไรให้เลย กับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น เจ้าของรหัส “ จับกัง ๑” ที่เป็นศัตรูขั้วตรงข้ามในการเมืองท้องถิ่น เพื่อสั่งสอนตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ๒๓ ก.ค.ที่ผ่านมา ไปๆมาๆปรับครม.น้ำสุดท้าย แทนที่บิ๊กตู่จะเอาโควต้าไปหาคนดีๆมาช่วยทำงานให้รัฐบาล มาช่วยคิดผลงานโครงการให้โดดเด่น แต่ไม่เลยกลับเอาเก้าอี้รัฐมนตรี ๒ ตัว มาแบ่งผลประโยชน์คนละครึ่งกับลุงป้อม ตัวเองตั้งคนใกล้ชิดเสมือนปูนบำเหน็จ ฝ่ายพี่ใหญ่ก็โยนเก้าอี้ให้ม้าเลี้ยงในคอกเป็นรางวัลกันเหนียวไม่ให้หนีไปภูมิใจไทย มีแต่เรื่องผลประโยชน์และการเมืองตัวเองล้วนๆ ไม่มีการปรับครม.เพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน เอาคนเก่งๆ มาสร้างนโยบายดีๆ ดันโครงการใหม่ให้ประเทศลืมตาอ้าปากเลย สุดท้ายก็ตอบโจทย์ผลประโยชน์ทางการเมือง ว่าแล้ว “ทหาร” กับ “นักการเมือง” ก็คิดเหมือนกัน
แบ่งเค้กรัฐมนตรีแล้วเสร็จ อย่าลืมหันมาดูการเมืองในภายหน้า แยกพรรคแตกวงกันแล้วอย่าคิดว่าพลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติจะเสวยสุข ชนะการเลือกตั้งกันได้ง่ายๆเหมือนเก่า บอกเลยรอบนี้ไม่มีทางสมหวังง่ายๆ ๒ พรรค ๒ หัว “พปชร.+รทสช.” เหนื่อยหนักแน่ อย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญเคาะสูตรหาร ๑๐๐ ลงมาแล้ว จากนี้นรกของจริงอยู่ข้างหน้า เลือกตั้งรอบหน้าบัตร ๒ ใบ ส.ส.เขต ๔๐๐ คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ๑๐๐ คน มีไม่ตัวช่วยสูตรพิสดารจัดสรรปันส่วนผสม ไม่มีการคิดคะแนนตกน้ำ ไม่มีฐานส.ส.พึงมีบล็อคพรรคเพื่อไทยอีก พรรคใหญ่ได้เปรียบพรรคเล็กตายห่าหมด ไม่มีพรรคปลาสิวปลาสร้อยมาแชร์เก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว พรรคใหญ่ พรรคกลาง ใส่กันเพียวๆ กระแส กระสุน หัวคะแนนใครดีกว่าคนนั้นก็คว้าพุงปลาไปกิน เพื่อไทยมั่นใจกติกาเก่าบัตร ๒ ใบ สูตร ๑๐๐ หาร แลนด์สไลด์ได้ส.ส. ๒๕๐ อัพแน่ อันนั้นฝ่ายทักษิณก็ว่ากันไป ของจริงเซียนการเมืองฟันธงมาแน่ ๑๗๐ -๑๘๐ คน เป็นอย่างต่ำสำหรับคอกทักษิณ แต่ฝ่ายรัฐบาลจะได้ถึง ๒๕๑ เหมือนคราวก่อนที่จับมือโหวตบิ๊กตู่เป็นนายกฯสมัย ๒ ได้อีกครั้งหรือป่าวยังต้องลุ้นกันปัสสาวะเหนียว รอบก่อนพลังประชารัฐกวาดไป ๑๑๖ คน แต่เพราะความแรงของกระแสบิ๊กตู่คนเดียวแท้ๆ ที่เป็น “เดอะแบก” อุ้มพลังประชารัฐเข้าสภา รอบนี้แยกกันเดิน ร่วมกันพัง พี่ใหญ่ไปทาง น้องเล็กไปทาง แต่ ๒ พรรคอย่าฝันหวานว่าจะจับมือกันชนะเลือกตั้งประสานมือกันตั้งรัฐบาลได้ง่ายๆ อันนั้นฝันกลางวันขนานแท้
เหลียวไปดูรวมไทยสร้างชาติแม้บิ๊กตู่จะไปเป็นหัวพรรคนั่งนายกฯให้ โอเคอาจจะได้เรื่องกระแสนายกฯ มีคะแนนพรรคจากความนิยมในตัวพล.อ.ประยุทธ์ที่ยังขายได้ในหลายพื้นที่ ภาคใต้นำมาอันดับ ๑ กทม.มาที่ ๒ ภาคอื่นๆอยู่ลำดับ ๓ ก็พอขายได้คะแนนพรรคยังพอมี แต่ถามว่าส.ส.เขต พรรคใหม่ของ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะเอาส.ส.เขตมาจากไหน ชุมพรยกจังหวัดจาก “ลูกหมี” ชุมพล จุลใส นะพอไหว สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช บางเขตก็พอได้อยู่ แต่จะชนะแบบยกจังหวัดทางใต้บอกเลยว่าฝันไป ลองไปไล่ดูจริงๆ ตัวเขตของรวมไทยสร้างชาติ ส่วนใหญ่มีแต่พวกส.ส.หมดไฟ รวมดาวสอบตกไว้เป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นส.ส.เกรดเอพรีเมี่ยมจริงๆมีกี่คน ภาคอื่นๆจะเอาตัวมาจากไหน กรุงเทพ เหนือ อีสาน กลาง มีบ้างไหม จะมีที่เป็นเนื้อเป็นหนังก็ก๊วนสุชาติบ้านใหม่ชลบุรีแต่ของจริงก็มีไม่ถึงสิบคน หันมาดูที่พลังประชารัฐของลุงป้อมอนาคตแตกกันคงเหลือส.ส.ไม่ถึงครึ่งร้อย ส่วนใหญ่ก็เป็นส.ส.ภาคกลางเดิมเคยมี ๔๐ คน อนาคตไม่รู้เหลือเท่าไหร่ เพราะถูกดึงถูกดูดไปหมด อีสานเดิม ๑๒ คน ตอนนี้เหลือแค่กลุ่มวิรัช ๕ คน เหนือจาก ๒๑ คน ที่ยังอยู่ก็มีกลุ่มร.อ.ธรรมนัส กลุ่มเพชรบูรณ์ของสันติ กลุ่มกำแพงเพชรของวราเทพ ขณะที่ภาคใต้เดิม ๑๔ คน กับกทม. ๑๒ คน จากหลักสิบอนาคตคงเหลือแค่หลักหน่วยเพราะไปกับบิ๊กตู่ส่วนหนึ่ง ไปกับเสี่ยหนูก็มาก เบ็ดเสร็จพลังประชารัฐ ได้ ๔๐-๕๐ คนก็เก่งแล้ว ประเด็นสำคัญไปดูฐานส.ส.เขตของพรรค ๒ ป.ส่วนใหญ่ก็ฐานเดียวกัน พื้นที่เป้าหมายก็มีภาคใต้ ๕๘ คน กทม.๓๓ คน แย่งชิงกันให้ตายสุดท้ายก็แย่งส.ส.ในฐานเดียวกัน ทะเลาะกันเกือบตายที่ใต้มีส.ส.แค่ ๕๘ คน เกินครึ่งพรรคประชาธิปัตย์กอดเก้าอี้ไว้เหนียว ๓ จังหวัดชายแดนใต้มีพรรคประชาติจับจองอยู่ ที่เหลืออีกหลายจังหวัดภูมิใจไทยเป็นแชมป์เก่า ถามตรงๆพลังประชารับกับรวมไทยสร้างชาติคิดว่าที่ใต้จะได้ส.ส.เท่าไหร่ ทะเลาะกันเกือบตายสุดท้ายแบ่งคะแนนกัน ตาอยู่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็คว้าพุงปลาไปกิน มองดูเพื่อไทยฐานส.ส.เขตเป้าหมายแลนด์สไลด์ อีสาน ๑๓๒ คน เหนือ ๓๙ คน กทม.อีก ๓๓ คน กลาง ๙๐ คน
ถึงบอกเลือกตั้งคราวหน้าขั้ว “บิ๊กตู่-ลุงป้อม” เหนื่อย ประเมินคราวๆ ขั้วรัฐบาลเก่าเปลี่ยนมือผู้นำจากพลังประชารัฐไปเป็นภูมิใจไทยแน่นอน รอบหน้าพรรคเสี่ยหนู ครูใหญ่เน ที่มีเพียบทั้งงูเห่างูฝาก น่าจะได้ ส.ส.ราว ๗๐-๘๐ คน ประชาธิปัตย์เต็มที่ก็น่าจะเท่าเก่าคือสัก ๕๐ คนหรือนอ้ยกว่า พรรคขนาดกลางอย่าง พรรคไทยสร้างไทยของเจ๊หน่อย พรรคสร้างอนาคตไทยของสมคิด พรรคละ ๑๐-๒๐ คน รวมพรรคเล็กๆปลาสิวปลาสร้อยอย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคอื่นๆ รวมกันอีกสัก ๑๕ คน ที่เหลือพรรค ๒ ป. พลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติต้องคว้าส.ส.มาให้ได้อย่างต่ำๆ ๘๐-๙๐ คน ขั้วเก่าถึงจะเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรถึงจะถีบพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติไปเป็นฝ่ายค้านได้สำเร็จ อนิจจาความจริง ๒ ป.บูรพาพยัคฆ์ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ ถ้าทำการเมืองแบบเอาประชาชนเป็นหลัก บริหารประเทศแบบยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง เอาจริงๆ สถาบันหลักก็ไม่ใช่ว่า ๓ ป. จะดูแลปกป้องแบบออกหน้า ประชาชนต่างหากที่เป็นกำลังสำคัญดูแลคุ้มภัยกันเอง ย้อนกลับไปดู ๔ ปีที่ผ่านมา ๓ ป.มีแต่กอบโกยผลประโยชน์ ทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงอำนาจกันไม่สิ้นสุด ไม่เคยนึกถึงชาวบ้าน ไม่เคยแสดงตัวจริงๆจังๆในการปกป้องสถาบัน อนาคตถ้า ๓ ป.ต้องดับสูญแตกพ่ายให้กับขั้วทักษิณฝ่ายโกงชาติ ก็อย่าได้โทษใคร เพราะมาจากตัวเองล้วนๆ
////////////////////////////