เป็นข่าวฮือฮาพอสมควรเมื่อมีข่าวว่า “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ และอดีตรมว.อุตสาหกรรม ยุค “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช เตรียมย้ายขั้วสลับข้างจากพรรคขั้วฝ่ายค้านมาอยู่กับพรรคซีกรัฐบาล แถมยังมานั่งในตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐของ ใต้ปีก “ลุงป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชนิดสร้างความฮือฮาไปทั้งวงการ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เคยประกาศว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่มาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ แต่สุดท้ายก็กลืนน้ำลายกลับมาทำการเมืองกับพรรคนี้
มิ่งขวัญเกิด ๕ ก.พ.๒๔๙๕ ปัจจุบันอายุ ๗๐ ปี อดีตเคยสร้างชื่อสมัยทำงานที่โตโยต้า จากพนักงานฝ่ายขายตัวเล็กๆ ไต่เต้าไปเป็นผอ.ฝ่ายประชาสัมพันธ์ขององค์กร ก่อนก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ จากนั้นในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร สมัยแรก มิ่งขวัญถูก “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯและรมว.คลังในยุคนั้น ดึงตัวมาช่วยงานประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ช่วยประชาสัมพันธ์งานหลายเรื่องจนโด่งดัง จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผอ.อสมท.ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕- ๒๕๔๙ ในยุคที่ช่อง ๙ ถูกเปลี่ยนเป็น “โมเดิร์นไนน์ทีวี” ปั้นช่อง ๙ จนโด่งดังมีชื่อติดปากคนไทยไปทั่ว เช่นเดียวกับถ่ายทอดผลงานต่างๆของนายกฯทักษิณจนชาวบ้านติดตา ประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลไทยรักไทยจนขึ้นหม้อ ก่อนจะเกิดกรณีปัญหาหลังช่อง ๙ ยุคมิ่งขวัญสั่งปลดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของสนธิ ลิ้มทองกุล ออกจากผังรายการหลังเนื้อหารายการสะท้อนความจริงและโจมตีสารพัดปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณ ไม่นานทักษิณและเครือข่ายก็ถูก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และผบ.เหล่าทัพทำการรัฐประหาร ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ มิ่งขวัญนกรู้ว่าเป็นคนฝ่ายตรงข้ามรับใช้ทักษิณที่คณะปฏิวัติคปค.ของพล.อ.สนธิหมายหัว หลังรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในบ้านเมือง มิ่งขวัญประกาศไขก็อกลาออกจากตำแหน่งผอ.บมจ.อสมท. หลังการรัฐประหารในวันที่ ๒๗ ก.ย.๒๕๔๙
จากนั้นเส้นทางการเมืองของมิ่งขวัญก็เริ่มขึ้นเต็มตัว หลังถูกสมัครทาบทามไปเล่นการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบสัดส่วน เขต ๖ กทม.และปริมณฑล ในการเลือกตั้งเมื่อ ๒๓ ธ.ค.๒๕๕๐ ก่อนจะได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.สมัยแรก และเส้นทางของมิ่งขวัญรุ่งโรจน์สุดๆ เพราะหลังการเลือกตั้งจบ เขาถูกสมัครวางตัวเป็นรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ และ รมว.พาณิชย์เมื่อวันที่ ๖ ก.พ. ๒๕๕๑ คุมงานขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ “ภาพรวมเศรษฐกิจ-ค้าขาย” ให้กับรัฐบาล แต่ผลงานหลายเรื่องของมิ่งขวัญตอนนั้นไม่เข้าตาเอาเสียเลย หนักไปทางพีอาร์ผลงาน มากกว่าได้เนื่องานจริง ทำงานได้ไม่กี่เดือนเรียกว่าหม้อข้าวยังไม่ทันดำ ๒ ส.ค.๒๕๖๑ สมัครก็ปรับครม.เขี่ยมิ่งขวัญพ้นรองนายกฯคุมเศรษฐกิจ โดยให้ “หมอเลี๊ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว.คลังมาคุมเศรษฐกิจแทน ส่วนงานค้าขายที่กระทรวงพาณิชย์ก็ให้บ้านใหญ่นครปฐมดึงไชยา สะสมทรัพย์มาเป็นรมว.พาณิชย์แทน มิ่งขวัญจากเดิมที่มี ๒ ตำแหน่งลดเหลือแค่ตำแหน่งเดียว โดยให้ไปเป็นรมว.อุตสาหกรรมแทน ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งไปโดยอัตโนมัติหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีรับเงินจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” ของสมัคร เป็นเหตุให้พ้นความเป็นนายกฯ มิ่งขวัญก็เลยหลุดจากตำแหน่งไปด้วย ต่อมาพรรคพลังประชาชนยุคลุงหมักถูกยุบพรรค
ฝ่ายทักษิณก็ตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาคือพรรคเพื่อไทยเดินหน้าทางการเมืองแทนมิ่งขวัญก็ไปสมัครเข้าพรรคเพื่อไทย ต่อมาในปี ๒๕๕๔ รัฐบาลเปลี่ยนมือจากขั้วพรรคเพื่อไทยมาอยู่ในมือพรรคสีฟ้าประชาธิปัตย์ ยุค “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ตอนนั้นแหละที่มิ่งขวัญพยายามโชว์สเต็ปความสามารถของตัวเอง สยายปีกใหญ่โตในพรรคเพื่อไทย โดยมีเป้าหมายต้องการที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่หวังเป็นสะพานสู่ตำแหน่งที่ใหญ่กว่าในอนาคตคือนายกฯประเทศไทย การเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเป็นใหญ่ในพรรคเพื่อไทยของมิ่งขวัญในตอนนั้น ถึงขนาดรวบรวมส.ส.ตั้งก๊วนเจ๊มิ่งผุดมุ้งใหม่ขึ้นในพรรคเพื่อไทย มีการกวาดต้อนส.ส.ไปอยู่ด้วยราว ๕๐-๖๐ คน โดยมีมือประสานอย่างสุพล ฟองงาม เป็นคนรวบรวมส.ส.ภายในพรรค มิ่งขวัญคิดการใหญ่จริงๆ เพราะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจอภิสิทธิ์ในปีนั้น มิ่งขวัญถึงขนาดขอทักษิณเป็นคนพูดเปิดพูดปิดศึกซักฟอกด้วยตัวเอง เรียกว่าต้องการโชว์สกิลทักษะของตัวเองให้นายใหญ่ทักษิณเห็นในสภา จากนั้นก็ต่อรองขอให้ทักษิณสนับสนุนให้ตัวเองเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคเพื่อไทยในอนาคต แค่นั้นยังไม่พอในสภาตอนอภิปรายก็มั่นใจมาก ถึงขนาดท้าทายอภิสิทธิ์กลางสภาว่าวันหนึ่งจะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯแข่งกับอ.มาร์คให้ได้คอยดู
การมักใหญ่ใฝ่สูงของมิ่งขวัญในครั้งนั้นแหละ ที่ทำให้นายใหญ่และนายหญิง เห็นธาตุแท้ชัดเจนว่ามิ่งขวัญ เข้าทำนอง “เลี้ยงไม่เชื่อง” ได้คืบจะเอาศอกมักใหญ่ใฝ่สูง แถมการตั้งก๊วนในพรรคเพื่อไทยก็ทำให้เจ้าของพรรคตัวจริงไม่ปลื้ม เพราะเสมือนมิ่งขวัญเนรคุณไม่รู้จักว่าใครเป็น “นาย” ใครเป็น “บ่าว” เรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวยังทำให้บรรดาลูกขุนพลอยพยัคฆ์ในพรรคเพื่อไทยร่วมมือกันสหบาทามิ่งขวัญด้วย สุดท้ายจึงมีใบสั่งจากเจ้าของพรรค “เชือดไก่ให้ลิงดู” โดยเอามิ่งขวัญเป็นตัวอย่าง สุดท้ายการเลือกตั้ง ๓ ก.ค. ๒๕๕๔ ทักษิณกับคุณหญิงพจมาน สับขาหลอกดึง “เจ๊ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนสุดท้องขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยแทน จากนั้นก็ถีบมิ่งขวัญลงไปเป็นบัญชีรายชื่อลำดับ ๖ ลดบทบาททุกอย่าง ไม่ให้มีตำแหน่งอะไร ตั้งรัฐบาลก็ไม่มีชื่อ เรียกว่า “แช่ช่องฟีดโบกปูนทับ” ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ไม่ตายแต่ไม่โต ที่สุด ๑๘ ธ.ค.๒๕๕๖ หลังเห็นว่าหมดอนาคตทางการเมืองในพรรคเพื่อไทยฝ่ายทักษิณแน่นอนแล้ว มิ่งขวัญจึงไขก๊อกจากพรรคเพื่อไทยถนนเพชรบุรีตัดใหม่
หยุดการเมืองไป ๖ ปี ก่อนออกมาอยู่กับพรรคเศรษฐกิจใหม่ เลือกตั้งได้ส.ส.มา ๖ คน ต่อมา ๕ คนไปสนับสนุนบิ๊กตู่ ทำให้มิ่งขวัญงอนตุบป่องประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่แต่ยังไม่ออกจากส.ส. จากนั้น ๑๗ ก.พ. ๒๕๖๕ ระหว่างปภิปรายทั่วไป มิ่งขวัญก็สร้างคอนเทนต์ประกาศลาออกกลางสภาทนไม่ไหวกับการทำงานของบิ๊กตู่และรัฐบาล สร้างดราม่าฉากใหญ่ให้คนไทยเห็น ภายหลังมีข่าวถูกร.อ.ธรรมนัสทาบไปอยู่กับพรรคเศรษฐกิจไทย ฝ่ายผู้กองไปคุยไว้มากว่าเจ๊มิ่งจะมาดูแลเศรษฐกิจให้กับพรรคเศรษฐกิจไทย แต่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไปเงียบหายไปเสียงั้น ไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีข่าวว่าจะไปอยู่กับพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยของดำรงค์ พิเดช เพื่อหนีตายสูตรหาร ๑๐๐ ถึงขนาดดำรงค์เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ให้เก๋ไก๋เพื่อรอรับมิ่งขวัญว่า “พรรคโอกาสไทย” ให้มิ่งขวัญเป็นหัวหน้าพรรค ชื่อพรรคยังไม่ทันเปลี่ยนข่าวยังไม่ดังคนไม่ทันรู้เรื่อง จู่ๆมิ่งขวัญก็ประกาศลาออกอีกก่อนมีข่าวว่าจะมาอยู่กับลุงป้อม จนที่สุดมาตกร่องปล่องชิ้นกับพรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตรในที่สุด โดยรับบทเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค ข้าหลายเจ้าบ่าวหลายนาย เข้าแก๊งค์ไหนหัวหน้าตายหมด ไปไหนอยู่กับใครไม่ได้นาน ใครจะชื่นชมมิ่งขวัญยังไงก็แล้วแต่ แต่เส้นทางการเมือง “นักการตลาด -เจ้าพ่อพีอาร์” ของมิ่งขวัญในทางการเมืองก็มาด้วยประการฉะนี้ เหลาให้ฟังพอสังเขป ส่วนเจ๊มิ่งเข้ามาแล้วจะทำให้พรรคลุงป้อม “เจ๋ง” หรือ “เจ๊ง” ตามดูกันเองก็แล้วกัน
/////////////////////////////