ประเด็นเรื่องสูตรหาร ๑๐๐ คำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อยังเป็นเรื่องที่ตามหลอกหลอนพรรคการเมืองหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคเล็กๆกับพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่ยังไม่มีฐานะคะแนนพรรค ประเด็นนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้พรรคการเมืองหลายพรรคหนีตาย หาทางเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้ติดกับดักสูตรหาร ๑๐๐ ที่จะทำให้ไม่มีส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว คาดการคร่าวๆ ตัวเลขสูตรหาร ๑๐๐ หากจะได้ส.ส.หนึ่งคนอย่างน้อยต้องมีคะแนนพรรคการเมืองขั้นต่ำราว ๓๕๐,๐๐๐ ถึง ๓๘๐,๐๐๐ คะแนน เป็นแบบนี้พรรคเล็กกับพรรคใหม่ก็ตายหยั่งเขียด หาเสียงให้ตายก็อาจไม่ได้ส.ส.แม้แต่คนเดียว
และเพราะประเด็นนี้แหละจึงทำให้หลายพรรคต้องดิ้นรนหนีตายทางการเมืองโดยเฉพาะการรวมพรรคมาจับมือกัน ก่อนหน้านี้อย่างที่ทราบก็มีความพยายามในการรวมพรรคกันของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับ พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ของ “๒ กุมาร” อุตตม สาวนายน กับ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ประกาศชู “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯคนใหม่ของพรรค ความพยายามในการรวม ๒ พรรคตระกูล “สร้าง” มีการหารือกันมานานราว ๒-๓ เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่จบยังไม่ตกผลึกกันเสียที ด้วยเหตุเพราะเรื่องของผลประโยชน์ไม่ลงตัว ต่างฝ่ายต่างก็เคี่ยวพอๆกัน ข่าวว่าประเด็นที่ทำให้การหารือของทั้ง ๒ พรรคไม่ลงตัว เพราะฝ่ายพรรคเจ๊หน่อยยื่นเงื่อนไขหลายเรื่องที่ฝ่ายพรรคสมคิดยอมรับไม่ได้ อาทิ แคนดิเดตรายชื่อนายกฯ ๓ คน พรรคไทยสร้างไทยต้องได้ ๒ คน พรรคสร้างอนาคตไทยเอาไป ๑ คน การจัดลำดับบัญชีรายชื่อพรรคไทยสร้างไทยจะเป็นคนดำเนินการ
ที่สำคัญซึ่งทำให้เป็นเรื่องและจุดแตกหักคือฝ่ายพรรคเจ๊หน่อยอ้างว่า ๒ แกนนำของพรรคอย่าง “อุตตม-สนธิรัตน์” เคยทำงานกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เคยร่วมรัฐบาลรถถังอยู่กับคณะรัฐประหารมาก่อน จู่ๆจะมาเข้าร่วมกับพรรคไทยสร้างไทยทันทีเลย ตรงนี้อาจทำให้แฟนคลับของพรรคคนที่เชียร์ไทยสร้างไทยตะวิดตะขวงใจ เพราะฉะนั้นหากรวมพรรคกันจริงๆ จะยังไม่มีการตั้ง ๒ แกนนำดังกล่าวก่อน เรื่องนี้แหละที่ทำให้พรรคสร้างอนาคตไทยไม่พอใจเพราะเหมือนฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เกียรติ แถมตลอดระยะเวลาที่มีการคุยเรื่องการรวมพรรค พรรคเจ๊หน่อยพยายามถือแต้มต่อชิงความได้เปรียบทุกเรื่องตลอด เอาง่ายๆว่าเขี้ยวรากดิน ไปๆมาๆดีลในการรวมพรรคระหว่างพรรคตระกูลสร้างจึงไปไม่ถึงไหนจนแท้งในที่สุด เพราะฝ่ายพรรคสร้างอนาคตไทยสู้ความเขี้ยวความมากของพรรคไทยสร้างไทยของเจ๊หน่อยไม่ได้ ที่สุดก็ต่างคนต่างไป ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกทางกันเดิน
หลังดีลพรรคตระกูลสร้างล่มเป็นข่าวอออกมา มีข่าวว่าพรรคสร้างอนาคตไทยพยายามหาแนวร่วมในการรวมพรรคใหม่ ก่อนที่จะมาจบที่พรรคชาติพัฒนากล้าของเสี่ยสุวัจน์ ลิปตพัลลภ คนใหญ่เมืองโคราชนักธุรกิจดังเมืองหัวหิน ข่าวออกมาว่าพรรคสร้างอนาคตไทยเป็นคนวิ่งไปหา แต่แกนนำพรรคสมคิดยืนกรานเป็นพรรคสุวัจน์ต่างหากที่ติดต่อมา ความจริงสมคิดกับสุวัจน์รู้จักกันดี มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เพราะอดีตเคยทำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนามาด้วยกัน ที่ยุคนั้นมีนักการเมืองดังๆร่วมงานเพียบ อาทิ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ดร.พิจิตต รัตตกุล, ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์, อุทัย พิมพ์ใจชน เกษมสันต์ วีระกุล รวมถึง “บิ๊กเหวียง” พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ที่เป็นหัวหน้าพรรค เพราะฉะนั้นสมคิดกับสุวัจน์จึงรู้ไม้รู้มือกันดี และถึงแม้สุวัจน์จะถูกมองว่าเป็นนักการเมืองเขี้ยวตัวพ่อเช่นกัน แต่การพูดคุยการทำงานร่วมกันยังไม่เขี้ยวยังไม่เหลี่ยมจัดยังไม่เรื่องมากเท่ากับตัวแม่อย่างเจ๊หน่อย
ล่าสุดแว่วว่าการพูดคุยรวม ๒ พรรค ระหว่างพรรคชาติพัฒนากล้ากับพรรคสร้างอนาคตไทย คืบหน้าไปมาก ๒ ฝ่ายเห็นตรงกันหลายเรื่อง และมีแนวโน้มน่าจะตกผลึกร่วมกันทำงานได้ ทั้งนี้แกนนำวงในมั่นใจว่าดีลนี้จะสำเร็จแน่นอนและเชื่อมั่นว่าจะทำให้การรวมพรรคกันในคราวนี้มีพลังและมีโอกาสได้ส.ส.มากขึ้น โดยเฉพาะการชูจุดแข็งของการเป็นพรรคการเมืองที่มีทีมเศรษฐกิจเข้มแข็งและน่าเชื่อถือที่สุด กรณ์เคยเป็นรมว.คลัง อุตตมเคยเป็นรมว.อุตสาหกรรมและรมว.คลัง สนธิรัตน์เคยเป็นรมว.พาณิชย์และรมว.พลังงาน ถ้าบวกสมคิดที่เคยเป็นรองนายกฯคุมคลังเคยดูพาณิชย์ ผสมกับสุวัจน์ที่เคยนั่งแท่นรองนายกฯ เคยเป็นรมว.ยุติธรรม รมว.คมนาคม พรรคใหม่ที่ผสมรวมกันก็จะมีแกนนำทางด้านเศรษฐกิจที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก “ ข้อดีและจุดแข็งของการร่วมกันของ ๒ พรรค ประการแรกจะทำให้เราเป็นพรรคการเมืองที่มีทีมเศรษฐกิจแข็งที่สุด ประการต่อมาแต่ละคนมีจุดขายเกื้อกูลกัน สุวัจน์มีคะแนนที่โคราชที่หัวหิน กรณ์ อรรถวิชช์ ได้คนชั้นกลางคนเมือง ๒ กุมารอุตตม สนธิรัตน์ก็มีฐานของตัวเอง ประการที่สามการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัครไม่มีปัญหาทับซ้อนกัน ประการที่สี่กรณีที่มีสมคิดเป็นแคนดิเดตนายกฯ ตรงนี้จะทำให้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นักธุรกิจ เพราะทุกคนรู้ฝีไม้ลายมือและเห็นผลงานอยู่แล้ว” แกนนำพรรคระบุ
อย่างไรก็ตามการรวมกันของพรรคชาติพัฒนากล้ากับพรรคสร้างอนาคตไทย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน เรื่องคน เรื่องนโยบายพรรค แต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องของ “กระแส” พรรค และ “ตัวตน” ของพรรคต่างหากที่เป็นเรื่องอยากจะทำให้คนเข้าใจและผูกพันกับพรรคในเวลาสั้นๆที่เหลืออีกไม่กี่เดือน อย่าลืมว่าการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ๒๔ มี.ค. ๒๕๖๒ พรรคชาติพัฒนา ได้คะแนนทั่วประเทศไปแค่ ๒๕๑,๓๐๑ คะแนนเท่านั้น ได้ส.ส.เขตไป ๑ คน บัญชีรายชื่อ ๒ คน ในจำนวนนั้น ๑๔๕,๔๓๓ คะแนนมาจากอีสาน ที่ถือว่าน้อยมากต่ำมาก ขณะที่พรรคกล้าของกรณ์ก็หนักไปทางดังแต่ท่อล้อไม่ไปภาพดีไม่มีคะแนน ฝ่ายพรรคสร้างอนาคตไทยยิ่งแล้วใหญ่แกนนำอาจจะดังแต่ไม่มีส.ส.เขตในมือแม้แต่คนเดียว ดูทรงแล้วยากจริงๆที่จะเข็นขึ้น อย่าลืมว่าเลือกตั้งคราวหน้าจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ๑ คนต้องมีคะแนนพรรค ๓.๕-๓.๘ แสนคะแนน ไม่ง่ายนะที่จะทำได้ ไม่แปลกที่เมื่อเป็นแบบนี้จะมีข่าวว่าแกนนำพรรคหลายคนอาจเปลี่ยนใจไปลุ้นลงเลือกตั้งในระบบเขตแทน ที่อาศัยชื่อเสียงอาจมีลุ้นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นกรณ์ จาติกวณิช หรือ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่มีลุ้นลงเขตในกทม.ได้ ซึ่งดูแล้วมีโอกาสลุ้นมากกว่าที่จะไปรอคะแนนบัญชีรายชื่อจากพรรค เลือกตั้งเที่ยวหน้าไม่ง่ายเลยจริงๆ
////////////////////////