‘ศรีสุวรรณ’ ค้านนายกฯ ใช้กฎหมายปิดกั้นสื่อ-ปชช.จี้ยกเลิก

"ศรีสุวรรณ" ค้านนายกฯ ใช้กฎหมายปิดกั้นเสรีภาพสื่อ-ประชาชน จี้ยกเลิกฉบับ 29 เหตุมี กฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว

วันที่ 30 ก.ค.-นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีโพสต์เฟซบุ๊คสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการข่าวปลอมในช่วงโควิด โดยสั่งให้ดำเนินคดีกับผู้ปล่อย เฟกนิวส์รายใหญ่ ไม่เว้นคนดัง – สื่อมวลชน พร้อมให้ติดตามใกล้ชิด แต่ทว่ากลับใช้อำนาจตาม ม.9 แห่ง พรก.ฉุกเฉิน 2548 ออกข้อกำหนดฉบับที่ 27 ข้อ 11 ที่กำหนดมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การเสนอข่าวที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักร

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การใช้อำนาจดังกล่าวทำให้ 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการออกข้อกำหนดดังกล่าว หรือจัดทำแนวปฏิบัติจากข้อกำหนดพร้อมแถลงถึงเจตนารมณ์ในการบังคับใช้ให้เกิดความชัดเจน เพื่อมิให้มีการนำข้อกำหนดดังกล่าว ไปเป็นเครื่องมือในการปิดกั้นการทำหน้าที่เสนอข่าวสารของสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตของประชาชน จนกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ทว่านายกรัฐมนตรีกลับไม่แคร์โดยออกข้อกำหนด ฉบับที่ 29 ออกมาสำทับห้ามเสนอข่าวทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอีก พร้อมสั่งให้ กสทช.แจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ตเข้มงวดกวดขันกับผู้ใช้บริการ หากกระทำผิดให้ส่งให้ตำรวจดำเนินคดี ซึ่งอาจเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.35 วรรคสอง และม.36 ได้

นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า กฎหมายที่ใช้จัดการพวกปล่อยข่าวปลอมหรือการบิดเบือนข่าวนั้น สามารถใช้กฎหมายปกติดำเนินการได้อยู่แล้ว โดยนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องออกเป็นข้อกำหนดมาให้เป็นที่ขุ่นเคืองของหลายๆฝ่าย อาทิ ใช้ ป.อ.เอาผิดฐานหมิ่นประมาทใน ม.326 โดยมี ม.328 เป็นบทเพิ่มโทษที่ใช้กันบ่อยๆ หรือเอาผิดพวกบอกเล่าความเท็จ ให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจตาม ม.384 ก็ยังได้ อีกทั้งยังมี ป.อ.แพ่งฯ ในหมวดของการ “ละเมิด” กำหนดเรื่องการหมิ่นประมาทไว้แล้วใน ม.423 เพื่อเรียกค่าเสียหายได้

นอกจากนั้นยังมี พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับปี 2560 ม.14 ที่ใช้เอาผิดผู้ที่นำเข้าซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมหรือเป็นเท็จได้ ซึ่งก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้ อีกทั้ง กสทช.ก็มีกฎหมายของตนเองที่จะเอาผิดสื่อมวลชนที่เสนอข่าวบิดเบือนได้อยู่แล้ว ผ่านกลไกทางปกครองหรือศาล

นายศรีสุวรรณกล่าวต่อว่า ดังนั้น นายกรัฐมนตรี หรือ ศบค.ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้อำนาจตาม ม.9 แห่ง พรก.ฉุกเฉินฯ มาปิดกั้นการทำหน้าที่เสนอข่าวสารของสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตของประชาชนเลย ทางออกที่เหมาะสมคือปรับปรุงข้อกำหนด ฉบับที่ 27 และ 29 เสียใหม่ โดยตัดทิ้ง ข้อ 11 และทบทวนหรือยกเลิกฉบับที่ 29 ออกไปเสีย ซึ่งไม่ทำให้กระบวนการเอาผิดผู้ที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารของรัฐเสียไป เพราะมีกฎหมายอื่นดูแลอยู่แล้วนั่นเอง

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ระทึก เพลิงไหม้คอนโดฯเมืองพัทยา จนท.อพยบ นทท.หนีตายอลหม่าน
"นายกฯ" หน้าตาสดใส พร้อมลงพื้นที่ร้อยเอ็ด หลังลาป่วย บอกไม่ค่อยมีเสียง
หนุ่มบุกช่อง 3 สาวหมัดใส่ “พระปีนเสา” กลางสถานี หน้าเจื่อน-จีวรแทบหลุด ด้านต้นสังกัดเรียกกลับวัดด่วนใน 7 วัน
"โคราช" หมอกลงจัด ปกคลุมหลายพื้นที่ ทัศนวิสัยแย่ มองไม่เห็นเส้นทาง สัญญาณอากาศหนาวมาเยือนแล้ว
ห้ามพลาด ลงทะเบียน-เช็กเงื่อนไข ใช้สิทธิประกันสังคม "กู้ซื้อบ้าน" ธอส.ดอกต่ำ 5 ปีแรก
ดีเดย์ "BRT" เริ่มเก็บค่าโดยสาร 15 ตลอดสาย ผู้สูงอายุ 11 บาท
"นิพิฏฐ์" โพสต์เดือด "ทนายความหรือปีศาจ" ชี้ขนาดทนายดัง ยังมีคดีอิรุงตุงนัง
“ดิ ไอคอน” ประกาศปิดสำนักงานชั่วคราว หลังดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ
ฝนยังไม่หมด กรมอุตุฯ เตือน 28 จว. รับมือฝนตกหนัก กทม.ก็ไม่รอด
ฮาโลวีนแปดริ้วผีแดนซ์และเหมือนจนเด็กร้องกรี๊ด

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น