นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป ประเทศโครเอเชียได้อำลาสกุลเงินคูนาของตนเอง เพื่อเปลี่ยนมาใช้เงินยูโร และกลายเป็นสมาชิกลำดับที่ 20 ของสหภาพยุโรปทั้งหมด 27 ประเทศ ที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกวีซ่าเชงเก้น ทำให้นักเดินทางกว่า 400 ล้านคน สามารถเดินทางได้อย่างอิสระระหว่างกัน โดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง
โดยนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลย์เยน ประธานสหภาพยุโรป ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์แสดงความยินดีว่า มันเป็นฤดูกาลแห่งการเริ่มต้นใหม่ และเธอได้เดินทางไปโครเอเชีย เพื่อฉลองโอกาสนี้ โดยได้พบกับนายกรัฐมนตรี อันเดรย์ เพลนโควิช ผู้นำโครเอเชีย และประธานาธิบดี นาตาซา เปิร์ก มูซาร์ แห่งสโลวีเวีย ที่จุดผ่านแดนของสโลวีเนีย ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเช่นกัน หลังจากนั้น ได้ร่วมกันเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงซาเกร็บ เมืองหลวงของโครเอเชีย
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร จะช่วยปกป้องเศรษฐกิจของโครเอเชีย ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก เนื่องจากจะช่วยลดเงื่อนไขการกู้ยืม ท่ามกลางความยากลำบากทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อของโครเอเชียอยู่ที่ 13.5 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับ 10 เปอร์เซ็นต์ในยูโรโซน
แต่สำหรับชาวโครเชียเอง ต่างมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน ในขณะที่พวกเขายินดีต้อนรับการผ่านแดนระหว่างยุโรปได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับการท่องเที่ยว ที่คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่บางคนกลัวว่า การเปลี่ยนสกุลเงินเป็นยูโร จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ขึ้นราคา
อย่างไรก็ดี การใช้เงินยูโรนั้น เป็นที่แพร่หลายในโครเอเชียอยู่ก่อนแล้ว โดยชาวโครเอเชียตีมูลค่าสินทรัพย์มีค่าทั้งรถยนต์ และอพาร์ตเมนต์ เป็นเงินยูโรป มาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งแสดงถึงความไม่มั่นใจในสกุลเงินท้องถิ่น และเงินฝากธนาคารประมาณร้อยละ 80 เป็นสกุลเงินยูโร และคู่ค้าหลักก็อยู่ในยูโรโซนเช่นกัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส กล่าวชื่นชมการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินยูโรของโครเอเชีย โดยกล่าวว่า เงินยูโรเป็นสกุลเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ซึ่งมีส่วนทำให้ยุโรปมีความยืดหยุ่นในการเผชิญกับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน