ย้อนอดีตไปก่อนหน้านี้ถ้ามีคนมาบอกว่า ๓ ป.บูรพาพยัคฆ์ ที่ประกอบด้วย ๓ อดีตผู้บัญชาการทหารบก อย่าง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุวรรณ เตรียมทหารรุ่น ๖ (ตท.๖) “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตท.๑๐ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตท.๑๒ จะแตกคอแยกทางกันเดิน เพราะอย่างที่รู้ว่าทั้ง ๓ คนเป็นพี่น้องร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายกันมากว่า ๕๐ ปี ปัจจุบันลุงป้อมอายุ ๗๗ ปี บิ๊กป็อกอายุ ๗๓ ปี บิ๊กตู่อายุ ๖๘ ปี แถมทั้งหมดยังรับราชการหน่วยเดียวกันเป็นทหารเสือราชินีเป็นสายเลือดบูรพาพยัคฆ์เหมือนกัน ผ่านตำแหน่งสำคัญๆในกองทัพบกมาอย่างโชกโชน ทั้งแม่ทัพภาคที่ ๑ และ ผบ.ทบ. ขณะที่ก่อนหน้านี้ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมือง พี่น้องทั้ง ๓ ป. ยังมีส่วนสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองต่างๆ หลายยุคหลายสมัย หนำซ้ำในช่วงที่น้องเล็กอย่างบิ๊กตู่ตัดสินใจเข้าควบคุมอำนาจก่อรัฐประหาร “นายกฯน้องสาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗ ก็มีพี่ใหญ่กับพี่กลาง ๒ คนนี้แหละเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการ จากวันนั้นถึงวันนี้บิ๊กตู่ผ่านการบริหารประเทศมา ๒ สมัย นับตั้งแต่วันแรกที่เป็นนายกฯ เมื่อ ๒๔ ส.ค.๒๕๕๗ จวบจนวันนี้ (๔ ม.ค.๒๕๖๖) กินเวลายาวนานถึง ๘ ปี ๓๑๒ วัน ที่บิ๊กตู่นั่งเป็นผู้นำประเทศ ขณะที่ ๒ พี่ใหญ่กับพี่กลางก็อยู่เคียงคู่ในรัฐบาลมาโดยตลอด ลุงป้อมเคยเป็นรองนายกฯควบรมว.กลาโหมก่อนปรับครม.เหลือรองนายกฯเพียงตำแหน่งเดียว ขณะที่บิ๊กป็อกเป็นมท.๑ มานานเพียงตำแหน่งเดียวโดยไม่เคยถูกปรับพ้นครม.เลย
๓ พี่น้อง “ป้อม-ป็อก-ตู่” ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการรักใคร่กลมเกลียวกันมาก ไม่มีใครจะมาแทรกกลางระหว่าง ๓ คนได้ นานหลายปี ลุงป้อมดูการเมืองคุมเกมในสภา บิ๊กป๊อกดูแลผู้ว่าฯสอดส่องหัวเมือง น้องตู่บริหารประเทศจัดการบ้านเมือง ๓ คนประสานสอดคล้องกัน ไม่มีใครคิดว่า ๓ คนจะแยกกันได้ แต่โลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน ขนาด พี่น้อง ๓ ป.ที่รักกันมากปานจะกลืนกิน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นสิบๆปี ต่างฝ่ายต่างพูดชั่วฟ้าดินสลายก็ไม่มีทางแยกจากกัน บ่อยครั้งออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความรักระหว่างกันผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่าง เมื่อ ๓ ก.ย. ๒๕๖๔ ชั้น ๖ รัฐสภา ลุงป้อมให้สัมภาษณ์ช่วงที่บิ๊กตู่ระหองระแหงเรื่องปรับครม.กับผู้กอง “ปัญหาในพรรคไม่มีอะไร นายกฯ ไปผมก็ไป” ถัดจากนั้น ๓ ธ.ค.๒๕๖๔ ลุงป้อมให้สัมภาษ์ที่ทำเนียบรัฐบาล กรณีลงพื้นที่ จ.อุดรธานีและมีประชาชนกราบเท้าพร้อมระบุว่า ขอให้เป็นนายกฯ โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ ไม่เป็นหรอก เดินยังไม่ไหวเลย” ล่าสุด ๖ พ.ค.๒๕๖๕ ช่วงที่มีข่าวหนาหูว่าพรรคเล็กจะล้มนายกฯในศึกซักฟอกปี ๖๕ ลุงป้อมตอบเรื่องนี้ว่า “ ไม่มีใครล้ม ไม่ต้องคุย นายกฯ ก็เป็นนายกฯ อยู่อย่างนี้ อยู่จนกระทั่งจบ” เมื่อถามย้ำว่า ไม่ได้คิดอยากเป็นนายกฯใช่หรือไม่ อยู่ช่วยนายกฯ ไปแบบนี้ใช่หรือไม่ ลุงป้อมตอบว่า “เออ” ฯลฯ นี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ลุงป้อมยืนยันไม่คิดการใหญ่เป็นนายกฯ ขณะที่ฝ่ายน้องตู่ก็เคยลั่นวาจาเชื่อมั่นว่าหัวเด็ดตีนขาด ๓ ป.ก็ไม่มีวันแยกจากกัน “ ทุกคนเป็นคนตั้งเองไม่ใช่เหรอว่า ๓ ป. ไม่มีใครมาทำร้ายผมได้ ทุกคนอาจจะไม่รู้และทุกคนอาจจะไม่รักคน รักเพื่อน รักคนอื่น เหมือนผมรักกัน ๓ คน ผมร่วมเป็นร่วมตายกันมา ชายแดนท่ามกลางสนามรบผมก็เคยอยู่ร่วมกันร่วมกันและท่านก็เป็นผู้บังคับบัญชาผมตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามารับราชการ อยู่บ้านเดียวกันกินนอนด้วยกัน สั่งสอนและฝึกอบรมกันจนกระทั่งโตขึ้นมา ยังคบและเคารพกันอยู่ ทุกอย่างที่ผมเป็นวันนี้ได้ เพราะพี่ทั้งสองคนได้สั่งสอนผมมาและผมจำได้ว่า ไม่เคยที่พี่ทั้งสองจะมาสอนให้ผมทุจริต โกง ซึ่งไม่มี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหนักแน่น “ ในเรื่องความสัมพันธ์ ๓ ป. จะตีมา ตีผมกันอย่างไร ไม่มีแตกกันอยู่แล้ว รักกัน เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน จำคำพูดผมไว้” นายกฯ กล่าว
แต่ที่สุดสัจธรรมก็พิสูจน์แล้วว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน มีรักก็มีเลิกได้ มีวันหวานชื่นก็ย่อมมีวันร้างลา ๓ ป.ผู้ยิ่งใหญ่ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมนี้ แม้ปัจจุบันทั้งลุงป้อมทั้งบิ๊กตู่จะออกมายืนกรานไม่มีวันทะเลาะกัน ใจถึงใจ ไม่มีใครมาแยกจากกันได้ ทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดปลอบประโลมไม่ให้รัฐบาลพังก่อนครบวาระเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติทุกคนล้วนทราบดี ๓ ป.แตกเละไม่มีชิ้นดี ไม่งั้นบิ๊กป็อกไม่ส่งสัญญาณ ไม่เล่นการเมืองต่อขอกลับบ้าน สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันก็แค่สร้างภาพประคองสถานการณ์ไปวันๆ แต่จากนี้ถึงวันเลือกตั้ง ลุงป้อมที่เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับบิ๊กตู่ที่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถือหาง จะต้องฟาดฟันในสนามเลือกตั้งแบบไม่รู้จักกัน ไม่มีหรอกเรื่องพี่น้องที่ไม่ใช่คู่แข่งแบบที่ลุงป้อมว่า ไม่มีเรื่องใจถึงใจอีกแล้วแบบที่บิ๊กตู่พยายามอธิบาย จากนี้พรรคใครพรรคมัน ลุงป้อมอยู่พปชร. บิ๊กตู่ไปรทสช. เพราะเก้าอี้นายกฯมีตัวเดียวเท่านั้น ย้อนอดีตกลับไปดูต้นเหตุที่ทำให้ ๓ ป.แตก ลุงป้อมกับบิ๊กตู่ขัดแย้งกัน ทั้งหลายทั้งมวลก็มาจากกรณีที่ลุงป้อมไปดึง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคเพื่อไทย(พท.) เข้ามาอยู่กับพปชร.ซึ่งเป็นพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนบิ๊กตู่ในช่วงเลือกตั้งชิงนายกฯสมัย ๒ เมื่อ ๒๔ มี.ค.๒๕๖๒ ที่บิ๊กตู่ต้องการเสียงส.ส.สนับสนุนจากทุกกลุ่ม ลุงป้อมจึงขอให้ร.อ.ธรรมนัสชวนสมัครพรรคพวกมาช่วย จนชนะการเลือกตั้งได้เป็นส.ส.พะเยา เขต ๑ อยู่ไปไม่นานพปชร.เกิดปัญหาขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่ม ๔ กุมาร ที่ประกอบด้วย “อุตตม -สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์” ภายใต้การนำของ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับ ก๊วนสามมิตร ที่มี “สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา” ตอนนั้นบิ๊กตู่ต้องผ่าทางตันด้วยการขอให้ลุงป้อมเขามาช่วยในพปชร. แรกเริ่มลุงป้อมก็เข้ามาในตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค อยู่ไปอยู่มาลุงป้อมได้ลูกยุจากร.อ.ธรรมนัส ก๊วนสามมิตร กลุ่มโคราชของวิรัช และคนข้างกาย ก่อรัฐประการขึ้นในพรรคที่สุดก็บีบจนทำให้ ๔ กุมารต้องไขก๊อกพ้นจากพปชร.ไป ก่อนที่ลุงป้อมจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเมื่อ ๒๗ มิ.ย. ๒๕๖๓ ช่วงนั้นร.อ.ธรรมนัสที่นั่งเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์อยู่ก่อนแล้วกำลังขึ้นหม้อเป็นคนโปรดหัวหน้าพรรค ถึงขนาดมีการตั้งก๊วน “๔ ช.” ที่ประกอบด้วย “ธรรมนัส-นฤมล-อธิรัฐ-สันติ” สยายปีกกุมอำนาจในพรรค จากนั้นไม่นานก็มีความพยายามจะเปลี่ยนตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนใหม่ อนุชาน้องเล็กสามมิตรถูกบีบจนลาออก ไม่นานร.อ.ธรรมนัสก็ขึ้นเป็นแม่บ้านพปชร. เคียงคู่ลุงป้อม
หลังขึ้นเป็นเลขาฯพรรคเจ้าตัวมองว่าตำแหน่ง “พญานาค ๒” มันเล็กเกินไปไม่เพียงพอกับศักดิ์ศรีความเป็นเลขาฯพรรคแกนนำรัฐบาล มีความพยายามจะขอปรับครม. เพื่อต้องการขึ้นเป็นกระทรวงเกรดเอหรือกระทรวงที่ใหญ่กว่าอย่างรมว.มหาดไทยหรือรมว.แรงงาน ช่วงนั้นส.ส.ก๊วนผู้กองหลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ขย่มบิ๊กตู่เรียกร้องให้ปรับครม.ให้ลูกพี่ไวไว แต่บิ๊กตู่ไม่ปรับให้เพราะตอนนั้นสถานการณ์โควิด -19 กำลังระบาดอย่างหนัก ประเด็นการปรับครม.ยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้จึงไม่อยากให้เรื่องการเมืองเรื่องปรับครม.มาทำให้รัฐบาลเสียกระบวนเสียสมาธิ ตรงนี้แหละที่ทำให้ร.อ.ธรรมนัสโกรธและขุ่นเคือง ช่วงนั้นบังเอิญใกล้เคียงกับเวลาที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจบิ๊กตู่พอดิบพอดี ร.อ.ธรรมนัสสบช่องผสมโรงแจกกล้วยพรรคเล็กยืมดาบส.ส.ปลาซิวปลาสร้อยเขย่าเก้าอี้บิ๊กตู่หวังแก้แค้นนายกฯพอดี งานนี้แค่คิดจับมือคนในประเทศไม่พอ ข่าวตอนนั้นดังระงมไปทั่ววงการว่ามีการแอบบินไปหารือกับโทนี่จับมือกับทักษิณคิดแผนล้มนายกฯ หวังคว่ำบิ๊กตู่กลางสภา ช่วงศึกซักฟอก ๒๕๖๔ มีการปล่อยตัวเลข ๓๐๐๐ ลบ.เป็นค่าหัวจ่ายในการดำเนินการ ค่าน้ำร้อนค่าน้ำชา ค่าซื้อกล้วยเอามาแจกในสภา แต่เดชะบุญคนดีผีคุ้มอย่างบิ๊กตู่รู้แผนเรื่องนี้เสียก่อน ช่วงนั่นจึงชิงจังหวะหาทางแก้ลำทัน ที่สุดเลยรอดสันดอนมาได้แบบหวุดหวิดเส้นยาแดงผ่าแปด
ถัดจานั้นไม่นานบิ๊กตู่จึงแก้เผ็ดลงดาบเสนอปลดร.อ.ธรรมกับคู่หูอย่างนฤมลพ้นรัฐบาลเรือแป๊ะ ข่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นที่มีการเอาเรื่องเก้าอี้นายกฯ เอาเรื่องสร.๑ ไปขายฝันให้กับลุงป้อมจนเจ้าตัวเคลิ้มว่าถ้าเชือดบิ๊กตู่พ้นไปได้เขี่ยพล.อ.ประยุทธ์ให้พ้นทาง เก้าอี้นายกฯจะตกมาเป็นของลุงป้อมแน่ๆ เพราะเป็นเบอร์ ๒ กุมอำนาจในรัฐบาลอยู่ แม้แผนชั่วคิดการใหย่ตอนนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ก็กลายเป็นการจุดประกายให้ลุงป้อมเห็นโอกาสในการเป็นนายกฯ เห็นช่องทางในการขึ้นเป็นใหญ่ จากนั้นจึงมีความพยายามจากบรรดาพวกลูกขุนพลอยพยัก จัดการหาช่องทางวางแผนเพื่อให้ลุงป้อมมีโอกาสลุ้นเป็นนายกฯอีกหลายครั้ง ทั้งตอนพิจารณางบปี 2566 ที่จ้องจะตีตกเพื่อให้บิ๊กตู่ต้องลาออกไปถ้ากฎหมายไม่ผ่าน การอภิปรายไม่ไว้วางใจปีที่ผ่านมาที่มีการนัดพรรคเล็กคว่ำนายกฯ แม้แต่ตอนลุ้นศาลรัฐธรรมนูญตัดสินวาระ ๘ ปี ก็ลุ้นกันปัสสาวะเหนียวให้นายกฯไม่ได้ไปต่อ ไม่ต้องบอกว่าขบวนการเลื่อยขาบิ๊กตู่ที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อผลักดันลุงป้อมมีใครบ้าง นอกจากผู้กองกับคนมักใหญ่ใฝ่สูงในพปชร.ที่แวดล้อมลุงป้อมในพปชร. นอกพรรคก็มีเพื่อนสนิทลุงป้อม อดีตเตรียมทหารรุ่น ๖ กับ “ ป.ที่ ๔” ขาใหญ่สภาสูงที่เกลียดบิ๊กตู่เข้าไส้ ไปผนวกกับก๊วนทักษิณฝ่ายเพื่อไทยที่รอจังหวะเตะตัดขาบิ๊กตู่อยู่แล้ว ช่วยกันดึงช่วยกันดันอยู่หลายปีก่อนจะมาสำเร็จในปีนี้ ๓ ป.มาถึงจุดที่ต้องแตกแยกจากกัน ส่วนหนึ่งก็มาจากคนแวดล้อมลุงป้อมที่มีแต่พวกสอพลอ ยุแยงตะแคงรั่ว เสี้ยมไม่หยุดแซะไม่มีพัก หาช่องว่างหาทางให้ ๓ ป.พินาศอยู่ตลอดเวลา แต่อีกส่วนต้องยอมรับว่ามาจากสนิมเกิดแต่เนื้อในตน เพราะ ๓ ป.ไม่หนักแน่นพอ เพราะพี่ใหญ่โดนความโลภเข้าบังตา ๓ ป.นับถอยหลังรอวันพินาศ สาเหตุหลักไม่ใช่เพราะทักษิณ ไม่ใช่เพราะร.อ.ธรรมนัส แต่เพราะคนในอย่างพี่ใหญ่ทำตัวเองแท้ๆ เปิดฉากมาอย่างหรูแต่จบทางเดิน ๓ ป. น่าอดสูแท้
///////////////////////