อดีตรองอธิการบดี มธ. ชำแหละ “ชัชชาติ” ทำงาน 8 เดือน พูดจาคลุมเครือ ขาดความชัดเจน

อดีตรองอธิการบดี มธ. ชำแหละ “ชัชชาติ” ทำงาน 8 เดือน พูดจาคลุมเครือ ขาดความชัดเจน

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใน social media ว่า กทม.ในยุคนี้ปล่อยปละละเลยให้มีหาบเร่แผงลอยในถนนสายหลักต่างๆเต็มไปหมด และมีรูปภาพเปรียบเทียบระหว่างยุคของท่านผู้ว่าฯอัศวินกับยุคของท่านผู้ว่าฯชัชชาติให้ดู ซึ่งท่านผู้ว่าฯชัชชาติได้แถลงชี้แจงซึ่งขอถอดความมาให้อ่านดังนี้

ข่าวที่น่าสนใจ

“หาบเร่แผงลอย น้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ สถานการณ์มันเปลี่ยนไป คือว่าเมืองเปิด โควิดหาย คนออกมาทำงานตามปกติ ท่องเที่ยวกลับมาเยอะเลย พอมี demand หาบเร่แผงลอยก็กลับคืนมา เรื่องนี้ก็ต้องย้ำกับผอ.เขตทุกท่านว่า ความปลอดภัยยังเป็น เอ๊ย เรื่องความมีระเบียบของเมืองมาเป็นอันดับ 1 ทางเดินเท้าเป็นอันดับ 1 ความจริงจุดที่กีดขวางเนี่ย ห้ามเลย แต่อันไหนที่พอจะให้คนที่รายได้น้อยพอทำมาหากินได้โดยไม่เกะกะก็ให้พิจารณาตามระเบียบไป แต่ไม่มีนโยบายจะให้กลับคืนมาเต็มถนนเนี่ย ไม่มี แต่ว่าที่ผ่านมาเราทำไว้หลายจุดแล้วนะ อาจจะมีบางจุดที่ยังมีการฝ่าฝืนอยู่ เราอาจไปมองที่จุดนั้น แต่ส่วนใหญ่ค่อนข้างดี”

ตลอดมาผมพยายามอดทนฟังท่านผู้ว่าฯพูด แถลงหรือชี้แจงในเรื่องต่างๆโดยไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย แต่นี่ท่านก็อยู่ในตำแหน่งมาเกือบ 8 เดือนแล้ว วิธีการพูดของท่านยังคงคลุมเคลือ ไม่ฉาดฉาน ไม่ชัดเจน จับประเด็นยาก เหมือนท่านเรียบเรียงความคิดได้ไม่ดีพอ โดยไม่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน หลายประเด็นฟังแล้วไม่แน่ใจว่าท่านหมายถึงอะไรกันแน่

ท่านผู้ว่าฯแถลงว่า ขอน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็เริ่มต้นด้วยการไปโทษว่า เมืองเริ่มเปิด โควิดหาย ทำให้คนออกมาทำงานตามปกติ ท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเยอะ ดังนั้นเมื่อมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น หาบเร่แผงลอยก็ต้องกลับคืนมาเป็นธรรมดา แต่ที่เขากำลังวิจารณ์ เขาไปเปรียบเทียบกับยุคท่านผู้ว่าอัศวินตั้งแต่ก่อนโควิด ไม่ใช่เปรียบเทียบในช่วงโควิดระบาด ว่าสมัยนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่านี้มาก จากนั้นท่านก็ไปบอกว่า ท่านจะต้องย้ำกับผอ.เขตทุกเขตว่า ความมีระเบียบของเมืองต้องมาเป็นอันดับ 1 ทางเดินเท้ามาเป็นอันดับ 1 ก็ไม่ทราบว่าท่านเคยย้ำกับผอ.เขตบ้างหรือยังตั้งแต่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือเพิ่งคิดที่จะย้ำ แล้วท่านก็ว่า หากจุดที่หาบเร่แผงลอยตั้งอยู่เป็นการกีดขวางทางเดิน ก็ไม่ให้ตั้งอยู่แล้ว แต่ถ้าจุดไหนพอจะตั้งได้โดยไม่เกะกะ ก็จะให้พิจารณาตามระเบียบ ซึ่งก็ไม่ทราบอีกว่า คำว่า “พิจารณาตามระเบียบ” คืออะไร หรือระเบียบระบุว่า หากตั้งหาบเร่แผงลอยในจุดที่ไม่เกะกะก็ให้ทำได้หรืออย่างไร

จากนั้นท่านก็กลับไปโทษอีกว่า ความจริงได้ทำแล้วหลายจุดโดยไม่บอกว่าทำอะไรหลายจุด ที่วิพากษ์วิจารณ์น่ะอาจไปมองจุดที่มีการฝ่าฝืน หรือจะหมายความว่าได้ไปตรวจจับหลายจุดแล้ว แต่บางจุดยังฝ่าฝืนไม่ยอมย้ายออกไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

นอกจากการแถลงที่คลุมเคลือ ต้องตีความ ต้องคาดเดาเองเองแบบนี้แล้ว คำแถลงของท่านยังสะท้อนให้เห็นวิธีทำงานของท่านเกี่ยวกับเรื่อง ความมีระเบียบของเมือง และการจัดการเรื่องหาบเร่แผงลอยบนทางเดินเท้าใน กทม. เพราะนั่นแสดงว่าท่านมีแต่ให้หลักการ เช่น ระเบียบของเมืองต้องเป็นอันดับ 1 แต่ไม่มีแผนดำเนินงานที่ครอบคลุมทุกเรื่องที่จะทำให้กทม. มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งอาจครอบคลุมถึงการปรับปรุงทางเดินเท้าให้เดินได้สะดวกและเรียบร้อยสวยงาม ปราศจากสิ่งกีดขวางทั้งปวง และรวมถึงการจัดการเรื่องหาบเร่แผงลอย ทำอย่างไรที่จะให้มีหาบเร่แผงลอย เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสทำมาหากินได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

การทำแผนดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความเห็น และข้อมูลจากผู้อำนวยการเขตทั้งหมด การแอบออกไปตรวจดูสถานที่ต่าง ๆ และถ่ายทอดสดออกทาง social media โดยไม่แจ้งใครเป็นการทำให้ผอ.เขตต่างๆรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความไว้วางใจ ท่านผู้ว่าฯน่าจะใช้เวลาสักสัปดาห์ละครึ่งวันทุกสัปดาห์ ประชุมกับรองฯผู้ว่า และผอ.เขตทุกเขตและเจ้าหน้าที่ระดับรองลงมาที่มีหน้าที่โดยตรง โดยท่านผู้ว่าฯนั่งเป็นประธานเอง ระดมสมองร่วมกันจัดทำแผนที่ที่จะทำให้กทม. น่าอยู่ โดยบูรณาการทุกหน่วยงาน ทุกเขต ให้ไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อได้แผนที่สมบูรณ์แล้วจึงมอบหมายให้รองผู้ว่าฯที่รับผิดชอบโดยตรงเป็นผู้ขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ และรายงานให้ทราบทุกสัปดาห์ จากนั้นจึงออกตรวจงานเป็นครั้งคราว ซึ่งจะแจ้งหรือไม่แจ้งให้เขตทราบล่วงหน้าหรือไม่ก็ได้ เพราะอย่างน้อยท่านได้ให้ผอ.เขตทุกเขตมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแล้ว หากทำได้เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องคอยย้ำกับผอ.เขตทุกครั้งที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หากทำได้เช่นนี้จึงจะเรียกว่า เป็นนักบริหารมืออาชีพที่ชาวกทม. 13 ล้านคนให้ความไว้วางใจ

พูดก็พูดเถอะ ผมไม่เห็นว่าการพูดจา การแถลง ชี้แจง การตอบคำถามของท่านผู้ว่าฯชัชชาติจะดูดีไปกว่าท่านพลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด จะดีกว่าก็ตรงที่ว่า ท่านผู้ว่าฯไม่ค่อยมีอารมณ์ฉุนเฉียวแล้วดุผู้สื่อข่าวเหมือนท่านนายกรัฐมนตรี ก็เท่านั้นเอง

 

 

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น