นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย ทำนายว่าปี 2566 เศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับวิกฤต 5 ด้าน แต่ยังมีโอกาสอีกในด้านเศรษฐกิจอีก 5 เรื่องด้วยกัน เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ
วิกฤตแรกที่ประเทศไทยต้องเผชิญคือ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกแบ่งเป็นขั้วต่างๆ นอกจากภาวะสงครามแล้วยังมีการทำสงครามทางการค้าตามมา ก่อให้เกิดการกีดกันทางค้า การส่งออกต่างๆ จะยากขึ้น ราคาพลังงานสูงขึ้น เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจชะลอทั่วโลก
วิกฤตที่ 2 คือ วิกฤตหนี้สิน เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะสูงถึง 60% และในขณะเดียวกันหนี้ครัวเรือนในประเทศก็ยังสูงถึงเกือบ 90% ของ GDP สูงเกือบที่สุดในโลก เพราะโดยปรกติแล้วเมื่อหนี้สาธารณะสูงหนี้ครัวเรือนควรจะต้องต่ำ แต่ในปัจจุบันสูงทั้งหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนซึ่งนับว่าอันตรายมาก นอกจากหนี้ครัวเรือนที่มองเห็นแล้วอยู่ในระบบยังมีภาระหนี้แอบแฝงอีกคือหนี้นอกระบบที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเพราะประชาชนไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบได้ ปิดกั้นการทำมาหากินของประชาชนส่วนใหญ่
วิกฤตที่ 3 คือการขาดดุลการค้า ประเทศไทยได้ดุลการค้ามาต่อเนื่องหลายปี จนกระทั่งปีที่ผ่านมาเริ่มขาดดุลการค้า และมีความเสี่ยงที่จะต่อเนื่องไปอีกหลายปีเนื่องจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และการกีดกันการค้าที่จะเกิดขึ้นอาจนำไปสู่การกู้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น
วิกฤตที่ 4 คือการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้และระบบอัตโนมัติต่างๆ ที่อาจจะกระทบอุตสาหกรรมทั้งระบบ รวมทั้งตลาดแรงงาน ไทยต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงานเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
วิกฤตที่ 5 วิกฤตสุดท้ายคือเสถียรภาพของรัฐและความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลเนื่องจากรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่สามารถบริหารงานได้อย่างมั่นคง ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลทำให้เกิดความขัดแย้งในการทำงานตลอดเวลา รวมถึงปัญหาคอรัปชันที่เกิดขึ้นและไม่สามารถแก้ไข