การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พร้อมเดินหน้าแผนจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ หลังผล
การศึกษาทำได้จริง คุ้มค่าต่อการลงทุน ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุนสามารถเปิดบริการเดินเรือเส้นทางในประเทศได้ทันทีและเส้นทางระหว่างประเทศภายใน 4 ปีแรก
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. ให้เกียรติเป็นประธาน
เปิดการประชุมสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติและแนวทางการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย โดยมีคณะที่ปรึกษาทรานส์ คอนซัลท์ จำกัด และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมรายงานผลการศึกษาโครงการฯ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ รูปแบบการลงทุนและความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจประเทศ ฯลฯ ทั้งนี้มีผู้บริหาร พนักงาน กทท. ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ กลุ่มนักลงทุน ผู้ใช้บริการ ผู้ประกอบการขนส่งทางน้ำ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ สื่อมวลชน เข้าร่วมงานฯ ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กทม.
ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า “ตามที่ กทท. ได้จ้างบริษัท ทรานส์คอนซัลท์ จำกัด และศูนย์บริการ
วิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติและ
แนวทางการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการส่งเสริมพาณิชยนาวีและส่งเสริมให้มีการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางน้ำ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าชายฝั่งภายในประเทศและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือที่ชักธงไทย เป็นการเสริมศักยภาพการแข่งขันลดการขาดดุลค่าระวางเรือให้กับเรือไทย อีกทั้งยังช่วยให้มีการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำให้เกิดความคุ้มค่า มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาค ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ
พัฒนาธุรกิจการให้บริการของ กทท. สร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินเรือของไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สนับสนุนให้เกิดการลงทุนในธุรกิจเดินเรือพาณิชย์ เสริมสร้างศักยภาพระบบพาณิชยนาวีและโลจิสติกส์เพื่อการค้าทางทะเลของไทยอย่างครบวงจร”
ขณะนี้คณะที่ปรึกษาฯ ได้ดำเนินการศึกษาโครงการดังกล่าวทั้ง 4 ด้านแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยโดยผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการบริหารสายการเดินเรือแห่งชาติควรเน้นการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 25 จะทำให้มีความเหมาะสมและคล่องตัวในการบริหารงานที่เกี่ยวข้องในด้านการตัดสินใจที่รวดเร็ว เป็นการดึงจุดเด่นของภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทาง
ชายฝั่งของไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น ซึ่งก็มีกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุนให้ความสนใจร่วมลงทุนในธุรกิจสายการเดินเรือแห่งชาติจำนวนหลายราย
สำหรับเส้นทางการเดินเรือภายในประเทศพบว่า มี 9 เส้นทางที่มีความเหมาะสม สามารถเปลี่ยนจาก
การขนส่งทางบกมาสู่ทางน้ำได้ แต่มี 3 เส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุนและไม่ทับซ้อนกับเส้นทางที่มีเอกชนดำเนินการอยู่ก่อนหน้า โดยมีผลตอบแทนทางการลงทุนอยู่ที่ร้อยละ 7.71 ประกอบด้วยเส้นทางท่าเรือมาบตาพุด (ระยอง) – ท่าเรือแหลมฉบัง (ชลบุรี) เส้นทางท่าเรือไฟร์ซัน (สมุทรสงคราม) – ท่าเรือแหลมฉบัง(ชลบุรี) และเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง (ชลบุรี) – ท่าเรือสุราษฎร์ธานี ด้านเส้นทางการเดินเรือต่างประเทศนั้นได้พิจารณารูปแบบการให้บริการเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย
ระยะที่ 1(First Phase) เป็นบริการเดินเรือไม่ประจำเส้นทาง (Tramp Service) ให้บริการขนส่งสินค้าประเภทเทกอง(Bulk Cargo) คาดการณ์ส่วนแบ่งปริมาณสินค้าที่จะมาใช้บริการสายการเดินเรือแห่งชาติร้อยละ 2 คิดเป็น1.2 ล้านตัน ขีดความสามารถในการให้บริการจำเป็นต้องจัดหาเรือประเภท
(1) เรือขนาด Handy Max ขนาด 32,000 เดทเวทตัน จำนวน 3 ลำ ให้บริการปีละ 8 รอบ
(2) เรือขนาด Supra Max ขนาด 50,000 เดทเวทตัน จำนวน 2 ลำ ให้บริการปีละ 5 รอบ
ระยะที่ 2 (Second Phase) เป็นการให้บริการเดินเรือบรรทุกตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ (Container Service) ให้บริการในเส้นทางเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง) อาเซียน (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม) และกลุ่มประเทศ BIMSTEC (อินเดียและเมียนมา) ประเภทสินค้าที่ส่งออกจากไทย รวมปริมาณส่งออก 20.0 ล้านตัน สำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศรวมปริมาณนำเข้า 9.1 ล้านตัน เบื้องต้นคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่จะมาใช้บริการเรือบรรทุกตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ของบริษัทสายการเดินเรือแห่งชาติร้อยละ 2 ของการส่งออกและนำเข้า คิดเป็นจำนวนสินค้าคอนเทนเนอร์ 31,005 TEUS ขนาดของเรือที่จะเข้ามาให้บริการเป็นเรือตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ขนาด 1,500 TEUS (Feeder Size) จำนวน 4 ลำ แต่ละลำทำรอบหมุนเวียน 8 รอบต่อปี
“เชื่อมั่นว่าการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติและการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทยจะเกิดขึ้นได้จริงในเร็ววันนี้ และสามารถพัฒนาเป็นสายการเดินเรือแห่งชาติที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการขนส่งทางชายฝั่งและทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย มีมาตรฐานและสนับสนุนการพาณิชยนาวีของไทยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการจ้างงานในธุรกิจการเดินเรือและกำไรที่ได้จากผลประกอบการ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางอ้อมไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การต่อเรือ การประกันวินาศภัยทางทะเล เป็นต้น รวมถึงผลประโยชน์เชิงคุณภาพที่ไม่สามารถคิดเป็นตัวเงินได้
อีกด้วย ทั้งนี้ กทท. จะนำผลการศึกษาดังกล่าวนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ โดยตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการเดินเรือประจำเส้นทางในเส้นทางชายฝั่งของไทยภายในปีแรกของการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติและเปิดให้บริการขนส่งสินค้าด้วยเรือไม่ประจำเส้นทางในเส้นทางระหว่างประเทศได้ภายใน 4 ปีแรกของการจัดตั้ง ผู้อำนวยการ กทท. กล่าว