“ดร.ณัฎฐ์” ชี้ทิศทางการเมืองปี 2566 กระต่ายไม่ตื่นตูม “บิ๊กตู่” ได้ผงาดนั่งตำแหน่งนายกฯอีกสมัย

“ดร.ณัฎฐ์” ชี้ทิศทางการเมืองปี 2566 กระต่ายไม่ตื่นตูม "บิ๊กตู่" ได้ผงาดนั่งตำแหน่งนายกฯอีกสมัย

27 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย และอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามตัวแปรด่านหิน จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี กลับสู่ทำเนียบริบหรี่..”ผู้สื่อข่าวจึงได้สัมภาษณ์ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” มือกฎหมายมหาชนคนดัง โดยอธิบายและให้ความรู้กฎหมายแก่ประชาชนว่า ทิศทางการเมืองในปี 2566 ในปีฉลู กระต่ายไม่ตื่นตูม

 

 

ให้ยึดหลักกฎหมาย แต่ไม่ใช่คำบอกเล่า คาดคะเนกันไปเอง บนพื้นฐานนับตัวเลข ส.ส.ว่าพรรคนั้น พรรคนี้ จะแลนด์สไลด์ หรือบางพรรคให้ข่าวว่า ได้เกิน 100 ที่นั่ง เป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ เอามันส์ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 83 กำหนด ส.ส.เพียง 500 คน แต่หากนับทุกพรรคที่บอกว่าจะได้เท่านั้นเท่านี้ตามข่าว น่าจะรวมตัวเลขทุกพรรคเกินกว่าหนึ่งพันคน ถือว่าเป็นสีสันทางการเมือง แต่ทิศทางการเมืองใน 2566 กระต่ายต้องไม่ตื่นตูม และเป็นปีแห่งความหวัง นายไพศาลฯ จะวิเคราะห์การเมืองอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง การออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลโดยตรงต่อการจัดตั้งรัฐบาลโดยตรง ไม่ว่ารัฐบาลจะชิงยุบสภาตามมาตรา 103 วรรคสอง เพื่อหลีกเลี่ยงกฎเหล็ก 180 วันตามกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 68(1) หรือจะอยู่ครบวาระ ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง ก็ตาม โดยมีตัวแปร ดังนี้

(1)การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ จากระบบบัตรใบเดียวเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ทำให้พรรคใหญ่ได้เปรียบ ทำให้การต่อสู้เพียง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่เอาลุงตู่กับฝ่ายที่ไม่เอาลุงตู่ ท่านทั้งหลาย จะพบเห็นปรากฏการณ์หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง แยกฝ่ายชัดเจน ทั้งๆที่พรรคการเมืองควรแข่งขันกันด้านนโยบาย และแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องพี่น้องประชาชน

(2) การแตกพรรคการเมืองในฐานการเมืองเดียวกัน อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ว่าจะเรียกว่า พรรคพี่ พรรคน้อง แต่ไม่ได้ควบรวมพรรคที่มี ส.ส.เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 99 วรรคสองบัญญัติห้ามไว้ ลักษณะการแตกพรรค ไม่ใช่การแตกแบงค์พัน เพื่อแยกกันเดิน รวมกันตี แต่เป็นการแย่งชิงอำนาจ ทำให้พรรคการเมืองเหล่านี้ ฐานมวลชน ทับซ้อนกัน จะทำให้แย่งฐานคะแนนเสียงในระดับเขต

(3)จากเดิมรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 วรรคหนึ่ง ส.ส.เขต 350 คน เพิ่มเป็น 400 คน ทำให้เกิดช่องว่าง คือ พื้นที่เพิ่ม 50 เขต หารตามจำนวนประชากรล่าสุดสิ้นปี 2565 จะเป็นชิ้นปลามัน ไมว่าจะเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กหรือพรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่แย่งชิงกัน ตัวแปรยังไม่มีเจ้าของพื้นที่ การแบ่งเขตเป็นหน้าที่ของ กกต.เป็นตัวชี้วัด หากแบ่งเขตให้ขั้วอำนาจใดได้เปรียบในฐานมวลชน โอกาสชนะเลือกตั้งในเขตนั้นสูง เว้นแต่บางเขตต้องการสั่งสอนนักการเมืองหน้าเก่า ไร้อุดมการณ์ ประชาชนจะเทคะแนนให้ผู้สมัครฯ หน้าใหม่

ข่าวที่น่าสนใจ

(4)การออกแบบรัฐธรรมนูญ สว.250 คน ตามบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 สว.ยังมีอำนาจให้ความเห็นชอบและโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 แม้การแยกตัวของ 3 ป. ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แยกกันอยู่คนละพรรค พล.อ.ประวิตร จดหมายเปิดใจ สาระสำคัญบอกเล่าถึงเรื่องราว และความคิด ความรู้สึก ตั้งแต่วันแรกที่เกิดการรัฐประหาร วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 จนถึงวันแยกทาง กับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมยอมรับว่า รัฐบาล คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการเมือง รวมถึงตนเองด้วยเช่นกัน และ ”3 ป. Forever” แต่ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจแยกทางเด็ดขาดแล้ว

การเลือกตั้ง ส.ส. คือ การแข่งขัน ลงสนามเมื่อไหร่ ลืมความเป็นพี่เป็นน้อง จะทำให้ สว.เป็นไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสาย แยกสนับสนุน 2 ป. ตัวแปร คือ จำนวน ส.ส.พรรคที่ 2 ป.สังกัดและต้องได้ 5% ของจำนวน ส.ส. หรือไม่น้อยกว่า 25 ที่นั่ง หากพิจารณาบริบททางการเมืองในปี 2566 พรรคการเมืองฝ่ายทหารจะอ่อนแรง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ กระแสพรรคไม่มี หากจะชนะเลือกตั้งฝ่ากระแส ต้องใช้กระสุน 100% เป็นเพียงพรรคหลักสิบ ไม่ใช่พรรคหลักร้อย

แม้ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่ง แนวโน้ม สว.250 คน ส่วนใหญ่เลือกข้างฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ มากกว่าพล.อ.ประวิตร แต่โอกาสแปรฝ่ายตรงกันข้ามบางส่วน เสียงส่วนน้อย ให้สังเกตจาก สว.ที่ชอบทำตัวเป็นโหร บางคนวิเคราะห์ข่าวการเมือง ตรงข้ามกับขั้วอำนาจปัจจุบัน ฐานเสียงสนับสนุนดังกล่าว จะเป็นตัวแปรหลัก เพื่อผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกสมัย แม้พรรคภูมิใจไทย จะได้ที่นั่งลำดับ 2 หรือ ลำดับ 3 นายอนุทินฯ ไม่ได้นั่งนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีฐานเสียง สว.อยู่ในมือ

(5)ไม่ว่าจะอยู่ครบวาระหรือยุบสภาในปี 2566 ระยะเวลาที่เหลือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินต่อในสนามการเมือง จะเห็นปรากฏสร้างคะแนนนิยมทุกช่องทาง จุดแข็ง คือ ซื่อสัตย์สุจริตเชิงประจักษ์ ถือว่า เป็นปกติของทุกรัฐบาล แม้จะมีการยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ รัฐธรรมนูญยังเปิดช่องให้รักษาการตามมาตรา 168 จนกว่าคณะรัฐมนตรีตั้งขึ้นใหม่ทำหน้าที่

ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 การยุบสภา จะทำให้ยกเว้นกฎเหล็ก 180 วัน กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันตามความในมาตรา 103 วรรคท้าย แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นผลให้ผู้สมัครฯจะต้องสังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ตามมาตรา 97(3) จากระยะเวลา 90 วัน ให้ลดลงเพียง 30 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง ช่องทางนี้ จะทำให้นักการเมืองวิ่งย้ายพรรคจนถึงนาทีสุดท้าย จะก่อให้เกิดพลังดูดซ้อนพลังดูด เพื่อซื้อตัวนักการเมืองมาสังกัดพรรค ที่บางพรรคเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ไปแล้ว ไม่ได้ปฎิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์สรรหาผู้สมัครฯ ตามกฎหมายพรรคการเมืองใหม่(อยู่ระหว่างทูลเกล้าฯ) ถือว่าเป็นโมฆะ สูญเปล่า

(6) ผลการเลือกตั้งในบริบทปี 2562 กับปี 2566 บริบททางการเมืองแตกต่างกัน ตัวแปรสำคัญ แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ คือ ระบบเลือกตั้งผสม บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พรรคจิ๋ว พรรคเล็ก สูญพันธุ์ และจะเห็นปรากฏการณ์นักการเมืองบ้านใหญ่ถูกโค่น นักการเมืองขายตัว ถูกประชาชนสั่งสอน ในวันลงคะแนน เพราะระบบดิจิทัล โลกออนไลน์ ประชาชนเข้าถึงตัวผู้สมัคร และพรรคการเมืองมากขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ คนรุ่นใหม่เข้ามาทดแทนคนรุ่นเก่า วิธีการหาเสียงเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น การกำหนดหมายเลขบัตรเลือกตั้งสับสน เขตกับพรรค คนละเบอร์และกฎกติกาหยุมหยิม เป็นข้อจำกัดแลนสไลด์

 

 

พรรคเพื่อไทย ปี 2562 ระบบเลือกตั้งเดิมคว้า 133 ที่นั่ง แต่ระบบเลือกตั้งใหม่ ปี 2566 จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม แต่ฟันธงได้ ไม่เกิน 170 ที่นั่ง เป็นพรรคการเมืองที่คว้าที่นั่ง ลำดับ 1 ส่วนพรรคก้าวไกลหรืออนาคตใหม่เดิม และพรรคเสรีรวมไทย จะได้ที่นั่งน้อยลง เพราะสูตรหาร 100 จะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยลงมาก หากจับมือ 3 พรรคนี้ ไม่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาล แม้เติมที่นั่งจากพรรคสร้างอนาคตไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ คาดว่า คว้าที่นั่งหลักสิบ แต่ไม่ถึง 25 ที่นั่ง (ให้เทียบเคียงผู้สมัครผู้ว่า กทม.พรรคไทยสร้างไทย) ตัวเลขรวมยังไม่เพียงพอ

หากพปชร.แม้ในปี 2562 จะคว้า 121 ที่นั่ง การแตกพรรค ทำให้ พปชร. อ่อนแรงลง เป็นพรรคขนาดกลาง หลักสิบ แม้แกนนำบางคนฝันได้ 100 ที่นั่งขึ้นไป ฝันกลางวันแสกๆ หากไปจับขั้วกับเพื่อไทย แม้ได้เกิน 250 เสียง แต่ตัวแปร คือ รวมเสียง สว.สาย พล.อ.ประวิตรฯ พปชร.เสียงยังไม่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาลได้

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยังคงให้การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แม้ พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ ฟันธงว่า คว้าที่นั่งเกินกว่า 25 ที่นั่ง ยังมีคะแนนนิยมอยู่ หากใช้ช่องยุบสภา และกรอบเวลา 30 วันนับถึงวันเลือกตั้ง ใช้เทคนิคพลังดูดซ้อนพลังดูด พลังเทอร์โบ และใช้อำนาจรัฐบีบนักการเมืองที่มีคดีติดตัวให้สนับสนุน

แม้ไม่ได้คว้าที่นั่งลำดับ 1 แต่การรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ฯกุมอำนาจเหนือกว่า สามารถรวบรวมเสียงจากพรรคขนาดกลาง และพรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ ที่คว้าที่นั่ง ส.ส. อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลัง พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคไทยสร้างไทย เป็นต้น ข้อตกลงกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจะเกิดขึ้น คือ นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนละครึ่ง (คนละ 2 ปี )จะเกิดขึ้น จะทำให้การเมืองในปี 2568 เปลี่ยนขั้ว ตัวแปร สว.250 คน หมดวาระ ส่วนมี สว.บางคน เสนอแนวทางปลดล็อก 8 ปี เป็นเพียงโยนหินถามทาง แต่จะเกิดกระแสต่อต้านจากภาคประชาชน

ทิศทางการเมืองปี 2566 กระต่ายไม่ตื่นตูม แม้พรรคการเมืองเก่าจะออกสตาร์ทก่อน ไม่ได้หมายความว่า จะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ จัดตั้งรัฐบาลได้ ขุมอำนาจ จึงยังอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะการออกแบบรัฐธรรมนูญ 5 ปีแรกตามบทเฉพาะกาล โดยกำหนด สว. 250 คน ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.และให้มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแปรสำคัญพรรคการเมืองฝ่ายทหารแม้จะอ่อนแรง ดังนั้น การที่นายไพศาลฯ โพสต์ข้อความโอกาส ริบหรี่ เป็นการคาดคะเนด้วยใจไม่เป็นกลาง แต่การเมืองต้องดูของจริงในวันเลือกตั้ง ตัวแปรทั้งปวง พล.อ.ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี ยังเต็งหนึ่ง ได้ไปต่อนั่งนายกรัฐมนตรีแน่นอน แม้พรรคพลังประชารัฐ จะดึงนักการเมืองแตกค่ายและ กก.บห.เคาะให้ พล.อ.ประวิตรฯ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เป็นการข่มขวัญพรรคการเมืองอื่น แต่สภาพความเป็นจริง เป็นการเคาะให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 88 เท่านั้น หากพรรคเพื่อไทยจะผงาดคว้าที่นั่งอันดับหนึ่ง แลนด์สไลด์ กับตรงกันข้าม ให้รวบรวมเสียงนับเสียงแล้วนับเสียงอีก การออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้พรรคเพื่อไทยนับแต้มเสียงไม่เพียงพอ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว "TKR Connect" แพลตฟอร์มจัดหางานครบวงจร สร้างมิติใหม่รองรับแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกม.
ออกหมายจับ "หมอบุญ" พร้อมพวกรวม 9 คน “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน” ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้กู้เงิน 8 พันล้าน
ระทึกกลางดึก ไฟไหม้ "ร้านกาแฟ" เผาวอดทั้งหลัง เสียหายกว่า 7 แสนบาท
"อุตุฯ" เผย "เหนือ-อีสาน-กลาง" อากาศเย็นตอนเช้า เตือนใต้ยังรับมือฝนตก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น