“ดร.เอ้” แนะ 3 มาตรการแก้ฝุ่น PM2.5 จี้จนท.ทุกด้าน ต้องจริงจังช่วยปชช.

"ดร.เอ้" แนะ 3 มาตรการแก้ฝุ่น PM2.5 จี้จนท.ทุกด้าน ต้องจริงจังช่วยปชช.

 

 

วันที่ 6 ก.พ.66 คณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ จัดเสวนา “ฝุ่นพิษ PM 2.5 ปัญหาที่ต้องเร่งแก้” วานนี้ โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตนายกสภาวิศวกร ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธุ์ นายกสภาวิศวกร นายอภิมุข ฉันทวานิช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ว่าที่ร.ต.ศรุต วัฒนสมบูรณ์ รองผู้จัดการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ ดำเนินรายการโดย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์

โดยนายองอาจ กล่าวว่า วันนี้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 รุนแรงมากขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพ หลายองค์กรรวมถึงสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาเพื่อพิจารณาเรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ปี 2563 และสภาผู้แทนราษฎรได้มีข้อเสนอส่งต่อให้รัฐบาลดำเนินการรวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ แต่ยังดำเนินการไม่เพียงพอ ทำให้ปัญหายังคงอยู่ และจำเป็นต้องหาทางออกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมกันว่าปัญหาเกิดจากอะไร และจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่นายปิยะบุตร กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยมีฝุ่นพิษ PM 2.5 สูงเป็นลำดับที่ 12 ของโลก ในเขตกรุงเทพมหานครพบที่เขตยานนาวาสูงสุดเป็นลำดับที่ 5 ของประเทศ โดยที่องค์การอนามัยโลก กำหนดค่า PM 2.5 ไม่ควรเกิน 25 มคก. /ลบ.ม. แต่กรมควบคุมมลพิษ ประเทศไทย กำหนดไว้ที่ไม่ควรเกิน 50 มคก. /ลบ.ม. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่ตระหนักถึงอันตราย ในขณะที่ตัวเลขล่าสุดของไทยในหลายพื้นที่เกินกว่า 150 -200 แล้ว อยู่ในโซนสีส้มสีแดงส่งสัญญาณว่าอันตรายมากเนื่องจากระดับความเข้มข้นมีผลต่อคุณภาพชีวิต พร้อมชี้ให้เห็นถึงต้นเหตุของปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 ว่า เกิดจาก 3 ส่วนหลักคือกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่นการขับขี่ยานพาหนะ ภาคการเกษตร เช่นการเผาเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร และภาคอุตสาหกรรมที่ใช้กระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดเขม่า ควันพิษ และในสภาพอากาศปิดเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการแพร่กระจายของฝุ่น PM.2.5 โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว และเนื่องจากฝุ่น PM.2.5 มีขนาดเล็กกว่าเส้นผม 30 เท่า ขนจมูกไม่สามารถกรองได้ จึงสะสมในปอด ทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดมะเร็ง บางคนมีอาการตาแดง จมูกแสบ ผื่นคันที่ผิวหนัง ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคหืด หอบ หญิงตั้งครรภ์ คนชรา โดยเฉพาะทางการแพทย์พบว่ามีผลต่อสมองเด็กอย่างมาก ก่อปัญหาระยะยาว เมื่อรู้สาเหตุของปัญหาที่มาของฝุ่นพิษแล้ว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนด้วยใจ ไม่ใช่แก้ปัญหาแบบขอไปที และต้องจริงจังตั้งแต่วันนี้

ด้านนายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ในอดีตเมืองใหญ่อย่าง ลอนดอน ปักกิ่ง โตเกียว เคยประสบปัญหาฝุ่นทั้งเมือง แต่ทุกวันนี้อากาศสะอาด บริสุทธิ์ เพราะจัดการแก้ไขปัญหาจริงจัง บ้านเราคนไม่สนใจ ไม่รับรู้ถึงพิษภัยของฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้เสียชีวิตได้แบบผ่อนส่ง เนื่องจากฝุ่นมีขนาดเล็ก มองไม่เห็น ไม่มีกลิ่น และในฐานะที่เป็นพ่อของลูกวัย 4 ขวบ วิงวอนให้รัฐและกทม.ออกมาพูดความจริง เพราะสุขภาพของพลเมืองสำคัญที่สุด พร้อมเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา ประกอบด้วย 1.แก้ด้วยกายภาพ เขตกรุงเทพชั้นในที่มีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาลมากมาย ควรเป็นเขต LEZ (Low Emission Zone) เช่น ถ้ารถสิบล้อเข้าเขตนี้ต้องเสียภาษีเพิ่ม รถควันดำห้ามเข้า เป็นต้น

2.แก้ด้วยกฎหมาย เช่น ตึกที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างต้องมีการ Wrap ตึกและสามารถเคลมเป็นภาษีได้ แต่ถ้าไม่ Wrap ต้องมีมาตรการเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างหรือโดนภาษีหนัก ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างนี้เป็นต้น

3.แก้ด้วยเทคโนโลยี เช่นติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นคุณภาพสูงอย่างน้อย 2,000 จุดทั่วกรุงเทพฯ ขอความร่วมมือป้าย LED แจ้งปริมาณฝุ่นพร้อมส่งสัญญาณเตือนเมื่อเกินค่ามาตรฐาน

“หากตนมีอำนาจสิ่งแรกที่จะทำการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด วันนี้ถึงแม้ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอากาศบริสุทธิ์ แต่มีกฎหมายอื่นที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ปลายเหตุ พอสมควร เช่น ผู้ว่าฯ มีอำนาจชะลอ เพิกถอนอาคารก่อสร้างที่ไม่ Wrap ตึกที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้ทันที การตรวจสอบสภาพรถ ตรวจจริงจังหรือไม่ รถเก่าต้องมีมาตรการเด็ดขาด เช่น ต้องเสียภาษีเพิ่มตามปริมาณฝุ่นพิษที่ปล่อยออกมา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้านควบคุมมลพิษต้องเอาจริงเอาจัง และอยากฝากไว้ว่าฝุ่นเลวสร้างมลพิษไม่เท่ากับการไม่เชื่อและไม่ตระหนักถึงอันตรายด้วยการปล่อยฝุ่นพิษทิ้งไว้ทำลายชีวิตผู้คน ” นายสุชัชวีร์ กล่าว

 

 

ส่วนนางดรุณวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างจริงจัง ไม่ฉาบฉวยเพราะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ทุกคนสามารถช่วยกันแก้ปัญหามลพิษให้ลดลงได้ โดยเริ่มต้นที่ตัวเอง “อยากได้อากาศสะอาด ก็ต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมลพิษและรอแค่การบังคับใช้กฎหมายมาจัดการ ทุกอย่างเริ่มได้จากตัวเราเอง”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ปรเมศวร์” เตือน “อธิบดีกรมที่ดิน” เสี่ยงโดนม.157 ปมเขากระโดง
ผู้จัดการตลท. พร้อมให้ข้อมูล คดี “หมอบุญ” เตือนนักลงทุน ใช้สติก่อนตัดสินใจ
“บิ๊กน้อย” การันตี แจงแทน “บิ๊กป้อม” ไม่โทรให้ใครช่วย “สามารถ”
“ไอซ์ รักชนก” เตรียมระทึกอีก ศาลนัดฟังคำสั่งถอนประกัน 11 ธ.ค.นี้ ลุ้นชี้ชะตาจะรอดคุกหรือไม่
ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่อุทยานขุดพรุน 14 ไร่ หาแร่ทองคำล้ำค่า เจ้าหน้าที่บุกจับแจ้ง 6 ข้อหาอ่วม
“ณัฐวุฒิ” ไม่เชื่อมีม็อบใหญ่ไล่รัฐบาล หยันหากมีก็แค่ ‘กองเชียร์ส้ม’ ในคราบอนุรักษ์นิยม
“ทนายสายหยุด” หน้าชา! “ทนายเดชา” ซัดคบไม่ได้-ขายลูกความ ไม่เชื่อ “ทนายตั้ม” ค้านประกันเมีย
รองพ่อเมืองกรุงเก่า ร่วมงานวิ่ง 'CPF & KASETPHAND RUN FOR CHARITY 2024' มอบรายได้แก่ 4 โรงพยาบาล ใน จ.พระนครศรีอยุธยา
ซีพีเอฟ คว้า 2 รางวัล Excellence Awards 2024 เป็นเลิศด้านการตลาด-ด้านสินค้าและบริการ
ดีเอสไอ คุมตัว ‘สามารถ-แม่’ ยื่นฝากขังอศาลอาญา ด้านแม่ ตะโกนร้องขอความเป็นธรรม ลั่นถูกกลั่นแกล้ง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น