จากกรณีที่นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.ก้าวไกล ได้ภิปรายว่าการรัฐประหารสองครั้งล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลง กอ.รมน. อย่างยิ่งใหญ่ อย่าง พ.ร.บ.ภัยความมั่นคง พ.ศ. 2551 หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.รมน. ให้ ผบ.ทบ. มาเป็นเลขาฯ กอ.รมน. ด้วย มีงบประมาณและกำลังพลส่วนตัว และจัดตั้ง กอ.รมน. ระดับภาคและระดับจังหวัดด้วย ทำให้โครงสร้างแบบรัฐซ้อนรัฐจะส่งผลระยะยาวต่อไปและตลอดไปหากไม่มีการแก้ไข แม้ว่าวันข้างหน้าเราจะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นพลเรือนก็ตาม แต่โครงสร้างแบบนี้ที่กองทัพสร้างไว้ก็จะตามหลอกหลอนเราไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างจากที่ทหารยึดอำนาจเลย
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจล้นเหลือ ขยายออกไปถึงสิ่งที่ไม่ใช่กิจของทหาร เรียกว่าเข้าไปส่อทุกเรื่อง ที่ไม่ใช่เรื่องของตน ทั้งที่หน้าที่คือการดับไฟใต้สามจังหวัด แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่เคยเบาบางลง แถมยังทวีความรุนแรงขึ้นทุกที กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่อันตรายที่สุดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา”
ต่อมานางอมรัตน์ ยังอภิปรายว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์มีใจความว่า ปิดประตูนิรโทษกรรม จึงอยากฝากประธานฯ ไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “พูดหมา ๆ อย่างนั้นได้อย่างไร”
ทำให้ นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วงว่า นางอมรัตน์ พูดเร็วมาก ฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้บ้าง ทั้งยังใส่ร้ายป้ายสี โดยประธานฯ วินิจฉัยว่ายังไม่ผิดข้อบังคับ