“โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก” ศูนย์จีโนมฯ เผย 22 ข้อควรรู้ อันตรายถึงชีวิต

โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก

"โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก" ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เรื่องราวความรู้เกี่ยวกับไวรัสมาร์บวร์ก 22 ประเด็น รู้ก่อนปลอดภัยก่อน

“โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก” โรค มา ร์ บวก ไวรัส ตัว ใหม่ marburg virus โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก การติดต่อ สืบเนื่องจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทางด้าน กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงจับตา โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) ที่ระบาดในประเทศอิเควทอเรียลกินี ในแอฟริกากลาง ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยโรคนี้มีที่มาอย่างไร อันตรายแค่ไหน งานนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ไขข้อข้องใจให้แล้ว ดูเลยที่นี่ TOP News

ข่าวที่น่าสนใจ

“โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก” โดยทางด้าน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ระบุเรื่องราวผ่านเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ว่า 22 คำถามที่ประชาชนสอบถามศูนย์จีโนมฯ เกี่ยวกับไวรัสมาร์บวร์ก

  • 1. ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสประเภทใด อันตรายแต่ไหน ควรกังวลหรือไม่

ไวรัสมาร์บวร์กเป็นอาร์เอ็นเอไวรัสรูปร่างเป็นแท่งสายยาวคล้ายถั่วงอก มีจีโนมขนาด 19,000 bp ประกอบด้วย 7 ยีนสำคัญ 3′-UTR-NP-VP35-VP40-GP1-GP2-VP30-VP24-L-5′-UTR มีขนาดเล็กกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นทรงกลมคล้ายผลทุเรียน มีจีโนมขนาด 30,000 bp ประกอบด้วย 13-15 ยีน

มีการติดเชื้อได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ แต่โคโรนา 2019 แพร่เชื้อได้ดีกว่าเพราะสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์กมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 88% อยู่ในตระกูล ‘ฟิโลวิริแด (Filoviridae)’ เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไวรัสมาร์บวร์กทำให้เกิดไข้เลือดออกรุนแรงในมนุษย์และลิงหลายประเภท เป็นโรคที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

– ไวรัสมาร์บวร์กมีระยะฟักตัว 2-12 วัน หากติดเชื้อในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดอุปกรณ์ในการรักษา อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 90% หากมีการติดเชื้อรุนแรงมักเสียชีวิตวันที่ 8 หรือวันที่ 9 หลังจากมีอาการ เนื่องจากการเสียเลือดและตกเลือดภายในอย่างรุนแรง อวัยวะหลายส่วนเกิดการทำงานล้มเหลว

– สามารถแสดงอาการอย่างฉับพลัน ืเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเป็นตะคริว โดยอาจรวมถึงดีซ่าน คลื่นไส้ ปวดท้อง และท้องเสีย

– จากนั้นอาจพบผื่นที่ไม่มีอาการปรากฏบริเวณหน้าอก หลัง หรือท้องในวันที่ 5

– การวินิจฉัยโรคมาร์บวร์กในระยะแรกจากอาการเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีอาการหลายอย่างคล้ายกับโรคติดเชื้อประเภทอื่น เช่น มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ และอีโบลา ปัจจุบันสามารถตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติยืนยันการติดเชื้อได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยเทคนิค RT-PCR

– ยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัสที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กเป็นการเฉพาะ ดังนั้นเมื่อพบผู้ติดเชื้อจึงต้องรีบแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เช่น แยกไปรักษาที่เต้นสนามเพื่อมิให้แพร่เชื้อต่อผู้อื่น การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการอันสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ เช่น การให้น้ำกลับคืนด้วยสารน้ำทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ การรักษาระดับออกซิเจน การใช้ยาบำบัดตามอาการที่เกิดขึ้น

– องค์การอนามัยโลกบรรยายลักษณะการติดเชื้อที่รุนแรงหลังวันที่ 5 ของผู้ป่วยติดเชื้อมีลักษณะคล้ายผี (Ghost-like) ด้วยลักษณะดวงตากลวงลึก(เนื่องจากเสียน้ำ) ใบหน้าซีด (เนื่องจากเสียเลือด) ไร้ความรู้สึก มีอาการหมดเรี่ยวแรงและง่วงนอนตลอดเวลา

  • 2. ไวรัสมาร์บวร์กพบครั้งแรกเมื่อไร

ไวรัสถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อ 56 ปีมาแล้ว โดยเกิดการระบาดในหมู่พนักงานห้องแล็บชีวภาพในเมืองมาร์บวร์ก ประเทศเยอรมัน โดยมีการติดเชื้อไวรัสจากลิงเขียวแอฟริกัน (African green monkey) ซึ่งนำเข้ามาจากยูกันดา ซึ่งเชื่อว่าไวรัสมาร์บวร์กอุบัติขึ้นและแพร่ระบาดในลิงมานานแล้วตามธรรมชาติ

  • 3.ไวรัสมาร์บวร์กเป็นดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอไวรัส

ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสอาร์เอ็นเอสายเนกาทีฟ มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสเนื่องจากเอนไซม์ของไวรัสมาร์บวร์กควบคุมการสร้างสายจีโนมของไวรัสรุ่นลูกและรุ่นหลานหละหลวม การมีอัตราการกลายพันธุ์สูงส่งผลให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อเวลาผ่านไป

  • 4. ไวรัสมาร์บวร์กแพร่ติดต่ออย่างไร

ไวรัสติดต่อสู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่นที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาว ลิง หมู ฯลฯ หรือระหว่างคนสู่คนจากการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสยังสามารถติดต่อมาสู่คนผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ถุงมือ หรือเครื่องนอน

  • 5. การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กดำเนินการอย่างไร

ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาเป็นการเฉพาะ มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงถึง 88% การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและการเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ ตลอดจนการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนใดๆที่เกิดขึ้น

โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก โรค มา ร์ บวก ไวรัส ตัว ใหม่ marburg virus โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก การติดต่อ

  • 6. ป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กอย่างไร

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างครบถ้วน เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา และชุดคลุม อย่างรัดกุม

  • 7. อาวุธชีวภาพ

เนื่องจากไวรัสมาร์บวร์กก่อให้เกิดการเสียชีวิตสูงในอัตราสูง และแพร่เชื้อจากคนสู่คนง่ายดายทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงจัดให้ไวรัสมาร์บวร์กอยู่ในการควบคุมเพราะสามารถถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ (bioterrorism agent) ถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญ

  • 8. มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในมนุษย์เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมีวัคซีนหลายประเภทที่อยู่ในช่วงการพัฒนาและทดสอบกับเซลล์ในห้องทดลองหรือในสัตว์ เช่นวัคซีนเชื้อตาย วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) แม้ว่าวัคซีนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้ในมนุษย์

  • 9. มียาต้านไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

ปัจจุบันไม่มียาต้านไวรัสซึ่งได้รับการอนุมัติโดยเฉพาะสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมียาต้านไวรัสหลายตัวที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสมาร์บวร์กในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

  • 10. เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสมาร์บวร์กในงานศพเกิดได้อย่างไร

ในอดีตมีการระบาดหลายครั้งของไวรัสมาร์บวร์กซึ่งเชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพในแอฟริกา คาดว่าไวรัสนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้เสียชีวิต อาทิ เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ในระหว่างพิธีกรรมงานศพตามประเพณี ผู้ร่วมไว้อาลัยอาจสัมผัสใกล้ชิดกับร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส

  • 11. การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสมาร์บวร์กทั้งจีโนมจะมีประโยชน์หรือไม่

การถอดรหัสจีโนมทั้งหมดของไวรัสมาร์บวร์ก สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ได้แก่ :

– ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการระบาดได้ทันต่อเหตุการณ์

– บ่งชี้ยีนและโปรตีนเป้าหมายที่เราควรพัฒนายาเข้ามายับยั้งเพื่อยุติการแพร่กระจายของไวรัสมาร์บวร์ก

– ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับชีววิทยาของไวรัสและการมีปฏิสัมพันธ์กับโฮสต์ (มนุษย์) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาวิธีการรักษาและการป้องกันแบบใหม่

  • 12. การตรวจไวรัสมาร์บวร์กในแหล่งน้ำเสียมีประโยชน์อย่างไร

การตรวจหาไวรัสมาร์บวร์ก จากน้ำเสียใกล้ชุมชนสามารถใช้เตือนล่วงหน้าถึงการระบาดหรือการปรากฏตัวของผู้ติดเชื้อภายในชุมชน แม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะแสดงอาการหรือเจ็บป่วยต้องพบแพทย์และเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ในกรณีของไวรัสมาร์บวร์กมีการพิสูจน์แล้วว่าไวรัสสามารถปะปนออกมาในอุจจาระและปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ โดยตรวจพบอนุภาคของไวรัสเหล่านี้ในตัวอย่างน้ำเสีย ตัวอย่างเหล่านี้จะถูกตรวจกรองด้วยวิธีการทางชีวโมเลกุล เช่น RT-PCR หรือ LAMP เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส รวมทั้งการถอดรหัสพันธุกรรมบางส่วนของจีโนมเพื่อบ่งชี้สายพันธุ์

  • 13. ไวรัสมาร์บวร์กสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศ (airborne) ได้หรือไม่

ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสมาร์บวร์กสามารถแพร่ผ่านทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์กส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ไวรัสสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์หรือเครื่องนอน

  • 14. ไวรัสมาร์บวร์กมีค่า R-naught เท่าไร

R₀ (อ่านว่า ‘R-naught’) เป็นคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายจำนวนเฉลี่ยของคนที่จะติดโรคจากผู้ติดเชื้อ 1 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค ค่าที่แน่นอนของ R₀ สำหรับไวรัสมาร์บวร์ก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามคาดว่าค่า R₀ ของไวรัสมาร์บวร์ก น่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5 – 3.5 ซึ่งหมายความว่าผู้ติดเชื้อแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นระหว่าง 1.5 ถึง 3.5 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

  • 15. ใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียช่วยตรวจสอบการแพร่ระบาดของไวรัสได้หรือไม่

โซเชียลมีเดียอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามและตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงไวรัสมาร์บวร์ก บุคคลมักจะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพและอาการใด ๆ ที่พวกเขากำลังประสบอยู่ หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อเป็นแนวทางในการตอบสนอง

โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก โรค มา ร์ บวก ไวรัส ตัว ใหม่ marburg virus โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก การติดต่อ

  • 16. ทำไมไวรัสนี้จึงตั้งชื่อตามเมืองในเยอรมนี

ไวรัสมาร์บวร์ก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองมาร์บวร์ก ในเยอรมนี เนื่องจากพบการระบาดครั้งแรกในเมืองนี้เมื่อปี 2510 จากบรรดาเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ดูแลลิงเขียวจากแอฟริกันจำนวน 31 ราย และ 7 รายในจำนวนนี้เสียชีวิต โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 23% เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเป็นที่ที่พบไวรัสเป็นครั้งแรก ในทำนองเดียวกันไวรัสซิกาได้รับการตั้งชื่อตามป่าซิกาในยูกันดา ซึ่งเป็นที่ที่แยกไวรัสได้เป็นครั้งแรก

  • 17. ทำไมการระบาดของไวรัสจากสัตว์มาสู่คน ส่วนใหญ่เกิดมาจากประเทศในแอฟริกา

การระบาดของไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของโลกและไม่เฉพาะเจาะจงในแอฟริกา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบางอย่างในแอฟริกาสามารถนำไปสู่การเกิดและการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อได้

– ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนคือการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างมนุษย์และสัตว์ในหลายพื้นที่ของแอฟริกา ซึ่งสามารถเปิดโอกาสให้ไวรัสกระโดดจากสัตว์ที่เป็นโฮสต์หรือรังโรคมาสู่มนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ในพื้นที่เหล่านี้อาจนิยมบริโภคเนื้อสัตว์ป่าหรือสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น คนงานในเหมืองหรือถ้ำที่มีค้างคาว สัมผัสกับปัสสาวะ และอุจาระของค้างคาว

– หลายพื้นที่ของแอฟริกายังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาลที่จำกัด ซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ป้องกันการระบาด อันส่งผลต่อการรักษาพยาบาลแก่ผู้ติดเชื้อ

– ความยากจน ภาวะทุพโภชนาการ และการปฏิบัติด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยที่ไม่เพียงพอ ซึ่งสามารถเพิ่มความสุ่มเสี่ยงอ่อนแอของประชากรต่อโรคติดเชื้อ

– แต่เป็นที่น่าสังเกตด้วยพลังของโซเชี่ยลมีเดียในปัจจุบันทำให้ทั่วโลกตระหนักว่าขณะนี้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสจำนวนมากในแอฟริกา ทำให้หลายประเทศร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุนแอฟริกาในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพและการใช้มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

  • 18. มีไวรัสกี่ประเภทที่แพร่ระบาดในสัตว์เลือดอุ่น (นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม)

เป็นการยากที่จะประเมินจำนวนไวรัสที่สามารถแพร่เชื้อในสัตว์เลือดอุ่นได้ เนื่องจากไวรัสชนิดใหม่ถูกค้นพบและจัดประเภทอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร ‘Nature’ ในปี 2018 ประมาณว่ามีไวรัสอย่างน้อย 214 ตระกูลที่ติดเชื้อในสัตว์มีกระดูกสันหลัง โดยในแต่ละตระกูลของไวรัส อาจมีไวรัสหลายสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อไปยังโฮสต์ที่แตกต่างกันได้

ตัวอย่างเช่น ไวรัสตระกูลโคโรนาสามารถแพร่เชื้อไปยังมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ไวรัสบางชนิดสามารถกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วเกิดวิวัฒนาการเป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทำให้ยากต่อการประมาณจำนวนชนิดของไวรัสที่แน่นอน

โรค ไวรัส มา ร์ บ ว ร์ ก โรค มา ร์ บวก ไวรัส ตัว ใหม่ marburg virus โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก การติดต่อ

  • 19. ไวรัสในสัตว์อะไรบ้างที่แพร่มาระบาดจากสัตว์มาสู่คน?

– ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (สัตว์ปีก สุกร และอื่นๆ)

– ไวรัสโคโรนา 2019 หรือ SARS-CoV-2 (ค้างคาว)

– ไวรัสอีโบลา (ค้างคาวผลไม้และลิง)

– เอชไอวี (ลิงโดยเฉพาะลิงชิมแปนซี)

– ไวรัสพิษสุนัขบ้า (สุนัข ค้างคาว และสัตว์อื่นๆ)

– ไวรัสเวสต์ไนล์ (ยุงและนก)

– ฮันตาไวรัส (สัตว์ฟันแทะ โดยเฉพาะหนู และ กวาง)

– ไวรัสไข้ลาสซา (หนูโดยเฉพาะหนู Mastomys)

– ไวรัสมาร์เบิร์ก (ค้างคาวผลไม้แอฟริกา)
• ไวรัสนิปาห์ (ค้างคาวและสุกร)

  • 20. รายชื่อวัคซีนได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันมนุษย์จากการติดเชื้อไวรัส

รายชื่อวัคซีนที่ใช้บ่อยและเป็นที่รู้จักสำหรับป้องกันมนุษย์จากการติดเชื้อไวรัส

– วัคซีนป้องกันโควิด-19: Pfizer-BioNTech, Moderna, Johnson & Johnson, AstraZeneca, Sinovac, Sinopharm ฯลฯ

– วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่: มีหลายประเภทให้เลือก รวมทั้งวัคซีนไตรวาเลนต์และควอดริวาเลนต์ ซึ่งป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ

– วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคตับได้

– วัคซีนหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR): วัคซีนนี้ป้องกันโรคไวรัสสามชนิด ได้แก่ หัด คางทูม และหัดเยอรมัน

– วัคซีนฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (เอชพีวี): วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสเอชพีวีบางสายพันธุ์ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งปากมดลูด

– วัคซีน Varicella (โรคอีสุกอีใส): วัคซีนนี้ป้องกันไวรัส varicella-zoster ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด

– วัคซีนโรตาไวรัส: วัคซีนนี้ป้องกันโรตาไวรัสซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรงในเด็กเล็ก

– วัคซีนโปลิโอ: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสโปลิโอซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพาตได้

– วัคซีนไข้เหลือง: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสไข้เหลืองซึ่งติดต่อโดยยุงและอาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้

– วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสพิษสุนัขบ้าซึ่งติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อและอาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่รักษาอย่างทันท่วงที

  • 21. รายชื่อยาต้านไวรัสที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันและรักษามนุษย์จากการติดเชื้อไวรัส

– เรมเดซิเวียร์ (Remdesivir)

– ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)

– โมลนูพิราเวียร์(Molnupiravir)

– แพกซ์โลวิด (Paxlovid)

– โอเซลทามิเวียร์ (ทามิฟลู)/Oseltamivir (Tamiflu)

– อะไซโคลเวียร์ โซวิแร็กซ์/Acyclovir (Zovirax)

– วาลาไซโคลเวียร์ (วาลเทร็กซ์)/Valacyclovir (Valtrex)

– แกนซิโคลเวียร์ (ไซโตวีน)/Ganciclovir (Cytovene)

– ไรบาวิริน/Ribavirin

– ซิโดวูดีน/Zidovudine (AZT)

– โซฟอสบูเวียร์/Sofosbuvir

– อินเตอร์เฟอรอน/Interferons

  • 22. จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กและเสียชีวิตระหว่าง พ.ศ. 2510-2566

– พ.ศ. 2510 : เยอรมนีและยูโกสลาเวีย ติดเชื้อ 31 ราย เสียชีวิต 7 ราย (23%) ในกลุ่มคนงานในห้องปฏิบัติการที่จัดการกับลิงเขียวแอฟริกันที่นำเข้ามาจากยูกันดา

– พ.ศ. 2518 : โจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ซิมบับเว ติดเชื้อ 3 เสียชีวิต 1 (33%)

– พ.ศ. 2523 : เคนยา ติดเชื้อ 2 รายเสียชีวิต 1 ราย(50%) เข้าชมถ้ำ Kitum ในอุทยานแห่งชาติ Mount Elgon ของเคนยา

– พ.ศ. 2530 : เคนยา ติดเชื้อ 1 รายเสียชีวิต 1 ราย(100%) เข้าชมถ้ำ Kitum ในอุทยานแห่งชาติ Mount Elgon ของเคนยา

– พ.ศ. 2533 : รัสเซีย ติดเชื้อ 1 ราย เสียชีวิต 1 ราย(100%) การปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ

– พ.ศ. 2541-2543 : สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ติดเชื้อ 154 ราย เสียชีวิต 128 ราย (83%) คนงานในเหมืองทองใน Durba

– พ.ศ. 2547-2548 : แองโกลา ติดเชื้อ 252 ราย เสียชีวิต 227 ราย (90%)

– พ.ศ. 2550 :  ยูกันดา ติดเชื้อ 4 ราย ตาย 1 ราย (25%) ทำงานในเหมืองตะกั่วและทองคำ

– พ.ศ. 2551 : ติดเชื้อจากถ้ำ Maramagambo ในยูกันดา ติดเชื้อ 1 รายแต่ไม่เสียชีวิต และ ติดเชื้อจากถ้ำ Maramagambo ในยูกันดา ติดเชื้อ1 ราย เสียชีวิต 1 ราย (100%)

–  พ.ศ. 2555 : ยูกันดา ติดเชื้อ 15 ราย เสียชีวิต 4 ราย (27%) ในเขต Kabale, Ibanda, Mbarara และ Kampala

– พ.ศ. 2557 : ยูกันดา มีผู้ป่วยยืนยัน 1 ราย (เสียชีวิต)

– พ.ศ. 2017 : ยูกันดา ติดเชื้อ 4 ราย เสียชีวิต 3 ราย (75%)

– พ.ศ. 2564 : Guinea Guéckédou ติดเชื้อ 1 ราย ตาย 1 ราย (100%)

– พ.ศ. 2565 : กานา ติดเชื้อ 3 รายเสียชีวิต 2 ราย
พ.ศ. 2566 อิเควทอเรียลกินี ติดเชื้อ 16 รายเสียชีวิต 9 ราย

อ่านรายละเอียดทั้งหมดที่นี่ : คลิก 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Center for Medical Genomics 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว "TKR Connect" แพลตฟอร์มจัดหางานครบวงจร สร้างมิติใหม่รองรับแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกม.
ออกหมายจับ "หมอบุญ" พร้อมพวกรวม 9 คน “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน” ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้กู้เงิน 8 พันล้าน
ระทึกกลางดึก ไฟไหม้ "ร้านกาแฟ" เผาวอดทั้งหลัง เสียหายกว่า 7 แสนบาท
"อุตุฯ" เผย "เหนือ-อีสาน-กลาง" อากาศเย็นตอนเช้า เตือนใต้ยังรับมือฝนตก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น