ส.อ.ท. จัดดีเบตใหญ่ 9 พรรค ตอบโจทย์แก้ปัญหาภาคอุตฯ

สภาอุตฯ เปิด 9 พรรค ร่วมเสวนาวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย “อุตตม” ชูนโยบายพลิกฟื้นเศรษฐกิจ “เกียรติ”มุ่งสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก สร้างแต้มต่อให้เอสเอ็มอี พร้อมแก้ปัญหาเรื่องพลังงาน ด้าน ”สุพันธุ์” ลั่นจีดีพีของ SMEs ต้องโต 50% ใน 3 ปี และเร่งปรับโครงสร้างค่าไฟให้ถูกลง หวังเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน

วันนี้ (28 มี.ค.66) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชูแนวคิดขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคตให้เข้มแข็ง ในการประชุมสามัญประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “Empowering Thai Industries for Powerful Thailand เสริมสร้างพลังอุตสาหกรรมไทย สู่ประเทศไทยที่แข็งแกร่ง” พร้อม จัดเสวนา “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” โดย 9 พรรคการเมืองเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

 

นายเกรียงไกร เปิดเผยว่า การจัดประชุมในวันนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่สมาชิกส.อ.ท. กว่า 15,000 รายทั่วประเทศ ได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การชมภาพกิจกรรมของ ส.อ.ท. ในรอบปี 2565 ชมสิทธิพิเศษและโครงการสำคัญต่างๆ ที่ ส.อ.ท. กำลังขับเคลื่อน การแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อเสนอแนะผ่านการจัดทำ FTI Poll ในหัวข้อ “สิ่งที่อยากให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการใน 90 วันแรก” เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

โดยกิจกรรมไฮไลท์ของการประชุมสามัญประจำปี 2566 ก็คือ การเสวนาเรื่อง “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” จาก 9 พรรคการเมือง ประกอบด้วย 1) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล 2) ผศ.สันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา 3) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า 4) นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย 5) นายเกียรติ สิทธิ์อมร คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ 6) นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ 7) นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ และประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย 8) นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ ว่าที่ผู้สมัครเขตดินแดง-พญาไท พรรคภูมิใจไทย และ 9) นายสุชาติ ชมกลิ่น กรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้ภาคเอกชนทราบแนวนโยบายและเข้าไปมีส่วนร่วมในรัฐบาลใหม่ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ การใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ และการปราบปรามคอรัปชั่นในประเทศให้หมดไป

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า นโยบายอุตสาหกรรมก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมไทย ประกอบด้วย 3 เรื่อง พร้อมให้สภาอุตสาหกรรมฯ ได้มีการทำงานกับพรรคการเมือง หากเห็นด้วยกับสาระสำคัญที่จะนำเสนอ โดยจะต้องหารือกันถึงเป้าหมาย ที่ปัจจุบันต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยยังเป็นในรูปแบบของ low tech low touch ซึ่งเป้าหมายร่วมกัน ระหว่างพรรคการเมืองและสภาอุตฯ คือ จะทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมไทยพัฒนาไปยังเป้าหมายให้เป็นกิจกรรม high tech high touch มีทั้งเรื่องดิจิทัล และ Design อยู่ในนั้น โดยทิศทางการพัฒนาจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อขับเคลื่อนไปยังเป้าหมายที่มีร่วมกัน พร้อมมองว่า เศรษฐกิจหลังจากนี้จะต้องเปลี่ยนจาก made in thailand เป็น made with thailand โดยไม่กำหนดขอบเขตเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่จะเป็นการเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชน โดยไม่จำกัดตัวเอง ส่วนปัจจัยต่อมา คือ เรื่องของปัจจัยการผลิต ที่จะต้องปรับเปลี่ยนเป็น industry 5.0 จากปัจจุบันที่ 4.0 โดยทำให้เครื่องจักร หุ่นยนต์ กับคนมาทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลิตสินค้าในอุตสาหกรรม ให้มีคุณค่ามากกว่าราคาที่ลดลงอีกด้วย

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ชูประเด็นการฟื้นฟูการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เพราะการส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจดีสุดสำหรับประเทศไทย โดยการพัฒนาในเรื่องของสินค้าและบริการ อินฟาร์สตรัคเจอร์ เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงรายได้ที่จะเกิดจากภาคการท่องเที่ยวเป็น 2 เท่า จากเดิมที่ 2 ล้านล้านบาท เป็น 5 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการส่งออกจะต้องมองหาตลาดส่งออกใหม่ๆให้มากขึ้น ผลักดันการลงทุนทั้งภาครัฐภาคเอกชน โดยเฉพาะพื้นที่ อีอีซี ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างมาก เป็นต้น

 

ด้านนายเกียรติ สิทธิ์อมร คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นโยบายหลักพรรคประชาธิปัตย์ คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยได้มีการประกาศนโยบายไปแล้ว 16 นโยบาย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก การสร้างแต้มต่อให้เอสเอ็มอีอย่างน้อย 3 แสนล้านบาท รวมถึงการเข้าไปแก้ปัญหาภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องพลังงาน น้ำมันแพง ก๊าซแพง ค่าไฟแพง โดยยืนยันว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำรัฐบาล และได้เข้าไปดูแลกระทรวงพลังงาน จะเข้าไปแก้ปัญหาเรื่องพลังงาน โดยจะเข้าไปดูแลเรื่องกำไรโรงกลั่นและค่าการตลาด ที่จะต้องไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 บาทต่อลิตร การดูแลเรื่องโครงสร้างภาษี เพื่อลดต้นทุนการเงิน รวมทั้งแก้ไขกฎระเบียบที่ล้าหลัง โดยไม่ขัดกับกติกาโลก

 

 

นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า พรรคฯ ขอนำเสนอแนวทางฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน ด้วยนโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด โดย 3 นโยบายเร่งด่วน ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชนและผู้ประกอบการให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนให้จริงจังด้วยวิธีใหม่ และสร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการคนไทย เสริมทักษะ และพัฒนาคนไทย โดยมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งเป็นบัตรเพื่อการพัฒนา และดูแลสวัสดิการ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย และการลงทุนปฐมวัย ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

ขณะที่ 8 นโยบายเร่งรัด เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้โตยั่งยืน อาทิ ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคเกษตร และวิสาหกิจชุมชน ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สร้างเศรษฐกิจใหม่สู่อุตสาหกรรม S-curve เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ให้ทั่วทุกภาค ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบงบประมาณและ ต่อต้านคอรัปชั่น เป็นต้น

 

 

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า ในอดีตที่ได้ทำงานในสภาอุตสาหกรรมกว่า 20 ปี พบว่ามีกฎหมายกว่า 1,400 ฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน นอกจากนี้มีปัญหาด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยพรรคฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มวงเงินค้ำประกันของ บสย. ให้ถึง 60% และจะตั้งกองทุน SMEs เพื่อสนับสนุนธุรกิจในประเภทต่างๆ ทั้งสตาร์ทอัพ วิสาหกิจชุมชน และจะตั้งกองทุนนวัตกรรมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมให้กับ SMEs

โดยการสร้างแต้มต่อให้ SMEs ต้องให้แต้มต่อกับบริษัทของคนไทย ที่ไม่ใช่แค่บริษัทไทย ต้องให้ BOI ตั้งแต่ขนาดแล็กจนถึงขนาดกลางเพิ่มขึ้น และต้องตั้งคลัสเตอร์ให้กับ SMEs รายประเภท เช่น คลัสเตอร์เครื่องสำอางค์ คลัสเตอร์อาหาร โดยตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงศูนย์ที่จะช่วยในการจดทะเบียนขึ้นทะเบียนใบอนุญาตต่างๆ ในที่เดียว และต้องปรับตัวชี้วัด ให้ GDP ของ SMEs โตขึ้นให้ถึง 50% ในสามปี นอกจากนี้ ปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขคือการปรับโครงสร้างค่าไฟให้ถูกลงเพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชนให้มากขึ้น ขณะประเด็นปราบทุจริตคอรัปชั่นต้องเริ่มต้นจากผู้นำ

 

 

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ และประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หลักคิดสำคัญของพรรคเพื่อไทยคือรัฐจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นของภาคเอกชน เพราะมีการเก็บภาษี 20% จากกำไรสุทธิ โดยพูดถือหุ้นสำคัญจะต้องมีบทบาทส่วนได้ส่วนเสียให้กับภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ มองว่าสิ่งที่สำคัญอันดับแรกคือ การเปลี่ยนจากรัฐที่เป็นอุปสรรคมาเป็นรัฐสนับสนุน โดยร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค กำหนดเขตเศรษฐกิจใหม่เพิ่มความสะดวกด้านเศรษฐกิจ ลดการคอรัปชั่น

 

 

สำหรับพรรคการเมืองอื่นๆ นั้น พบว่า มีมุมมองใกล้เคียงกัน โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง มุ่งสู่พลังงานสะอาด การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับเปลี่ยน KPI SMEs การแก้ไขมาตรการกีดกันทางการค้า และการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เป็นต้น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น