ใกล้วันหยุดยาว ใครมีแพลนขับรถเที่ยวเช็คให้ดี 6 "ยากินแล้วง่วง" ต้องระวัง ระหว่างขับรถ เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ เช็ค
ข่าวที่น่าสนใจ
“ยากินแล้วง่วง” คืออะไร
- ยาที่ทำให้ง่วงซึม
- บางกลุ่มส่งผลให้อ่อนเพลีย วูบ หรือรบกวนการมองเห็นได้
- จนบางครั้งกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน รวมไปถึงเสี่ยงต่อการขับขี่ยานพาหนะด้วย
6 ชนิดยา กินแล้วง่วง ต้องระวัง ระหว่างขับรถ
1. ยาแอนติฮิสตามีน (Antihistamine)
- รู้จักกันในชื่อ ยาแก้แพ้หรือยาแก้โรคภูมิแพ้
- รวมถึงกลุ่มยาแก้เมารถ เช่น คลอเฟนิรามีน พบทั้งชนิดที่เป็นยาเดี่ยวและชนิดผสม
- ส่งผลให้เกิดการกดประสาท ทำให้ง่วงนอน มึนงง มองไม่ชัด
- นอกจากไม่ควรใช้ยาก่อนที่จะขับขี่ยานพาหนะแล้ว ยังไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับการดื่มสุรา หรือยาที่มีฤทธิ์กดประสาทด้วย
2. ยาคลายเครียด/ยานอนหลับ/ยารักษาโรคจิตเวช และยารักษาโรคทางระบบประสาทบางชนิด
- เช่น ไดอะซีแพม อัลพาโซแลม
- ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง มีผลต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น
- เกิดอาการซึมมาก
- หลับนานผิดปกติ
- กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ส่งผลให้การตัดสินใจล่าช้า มีผลต่อการทำงานของร่างกายในการรับรู้ของอวัยะต่าง ๆ และสั่งการทำงานของแขนขา
- ซึ่งหากรับประทานยาในกลุ่มนี้แล้วมาขับขี่ยานพาหนะอาจจะมีอาการง่วงซึมค้างจากยา หรือประสิทธิภาพในการตัดสินใจในการขับขี่ลดลง อาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
3. ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมอนุพันธ์ของฝิ่น
- เช่น ทรามาดอล
- มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้พบผลข้างเคียงตั้งแต่อาการใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ มึนงง ง่วงซึม จนถึงรุนแรง เช่น
- กดศูนย์การหายใจของร่างกาย
- กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก
- ประสาทหลอน
- จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเองขณะที่ใช้ยานี้
4. ยาแก้ไอหลายชนิดที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น
- เช่น ยาแก้ไอน้ำดำที่มีส่วนผสมของโคเดอีน
- จะส่งผลให้คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม ลดประสิทธิภาพในการขับขี่
- การใช้ยาในขนาดสูงทำให้การหายใจหยุด ช็อก และหัวใจหยุดเต้น
5. ยาคลายกล้ามเนื้อ/แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- มีผลต่อสารสื่อประสาทในสมอง
- ลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดตึง ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
- จนบางครั้งอาจทำให้แขนขาอ่อนแรง และใช้งานในการควบคุมได้ไม่ดีพอ
6. ยาประเภทอื่น ๆ
- เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง/ยารักษาโรคหัวใจ และยาหยอดตา ที่มีผลรบกวนการขับขี่ยานพาหนะ
ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันอาการง่วงนอนจาก “ยากินแล้วง่วง” ขณะขับรถ
1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนในช่วงก่อนและขณะขับรถ
- โดยสังเกตคำเตือนบนฉลากก่อนใช้ยา เช่น ยานี้ทำให้ง่วงซึม จึงไม่ควรขับขี่ยานยนต์หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือทำงานที่เสี่ยงต่อการพลัดตกจากที่สูง
- หรือ ควรทดสอบก่อนว่า รับประทานยานี้แล้วไม่ง่วง เป็นต้น
2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนร่วมกับแอลกอฮอล์
- โดยสังเกตคำเตือนบนฉลากก่อนใช้ยา เช่น ไม่ควรรับประทานร่วมกับสุราหรือสิ่งที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
- หรือ ยานี้มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่…% ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
3. ยาบางชนิดรบกวนการมองเห็น
- เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม
- แม้จะทำให้ตาพร่ามัวเพียงชั่วคราวแต่ไม่ควรใช้ระหว่างขับรถ
4. การใช้ยาที่ทำให้วูบ ใจสั่น หน้ามืด อ่อนเพลีย
- ซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยาลดความดันโลหิต
- ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงผลข้างเคียงให้ชัดเจน
- ไม่ควรหยุดยาหรือปรับการใช้ยาเองเพื่อขับรถ แต่ควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตัวเอง
ยาที่ส่งผลต่อการขับขี่ยานพาหนะ พบได้ทั้งชนิดที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ซึ่งได้จากโรงพยาบาล และเป็นยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยาและร้านค้าทั่วไป ดังนั้น **ก่อนใช้ควรอ่านคำแนะนำบนฉลาก และปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด** เพื่อความปลอดภัยควรเลือกซื้อยาจากร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง มีเภสัชกรประจำร้านที่ได้มาตรฐาน สามารถให้คำแนะนำการใช้ยาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมจะดีที่สุด
ข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง