ไปๆมาๆ นโยบายเรื่องเติมเงิน “มันนี่วอลเล็ต” โอนเงินเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยไอเดียของ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ อดีตเซลล์แมนขายบ้านของแสนสิริ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนประเด็นฮอตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในการหาเสียงเลือกตั้งตอนนี้ อย่างที่รู้ว่านโยบายขายฝันประชานิยมถือเป็น “ไม้เด็ด” เป็นของถนัดของพรรคเพื่อไทยคอกทักษิณ เพราะในช่วงเลือกตั้งทุกครั้งเป็นต้องมีการออกนโยบายเด็ดๆโดนๆ แต่ส่วนใหญ่ขาดความรับผิดชอบ และกลายเป็นภาระการเงินการคลังให้กับประเทศมาตลอด ตั้งแต่ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โครงการจำนำข้าว ฯลฯ ล่าสุดก็เป็นแจกเงินดิจิทัลใส่กระเป๋าตังค์หมื่นบาทให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป วางเป้าหมายจ่ายให้คนไทยที่อยู่ในเกณฑ์จะได้รับเงินราว 55 ล้านคน คาดใช้งบประมาณราว 550,000 ล้านบาทเศรษฐากับแกนนำเพื่อไทยออกมาตีปี๊บกันยกใหญ่ โดยยืนกรานว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่ใช่นโยบายสวัสดิการ การเติมเงินเติมครั้งเดียวจบ และต้องใช้ภายใน 6 เดือน ที่เหลือเอาคืน นอกจากนี้การใช้งานก็ต้องทำภายในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามบัตรประชาชน เศรษฐาตีปี๊บว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน เกิดการจ้างงาน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียนได้ 6 เท่า มีเงินหมุนเวียนในระบบ 3 ล้านล้านบาท ผลักดันจีดีพีปีละ 5 % เป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2570 ทั้งนี้สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในโครงการนี้ รัฐบาลตั้งเป้าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 105,000 – 210,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
เพื่อไทยออกมาโหมโรงเรื่องนี้กันยกใหญ่ชูว่าเป็นนโยบายใหม่เป็นของดี เป็นการว่านเงินแบบฝนตกทั่วฟ้าได้ครบทุกคน ทั้งคนจน ทั้งยาจก ทั้งเศรษฐี เสี่ยนิดยืนกรานต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาก็เคยเทงบแบบนี้ ด้วยการทุ่มเงิน 25 % ของงบประมาณประจำปี สิงคโปร์ก็เคยแจกด้วยการใช้งบ 18 % ส่วนไทยถ้าใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท ก็คิดเป็นแค่ 11 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งปีเท่านั้น แต่ผลที่ได้เรียกว่าเกินคุ้มเพราะเป็นการเทงบก้อนใหญ่โครมเดียวให้กับคนไทยทั้งหมด ไม่ใช่ใช้งบแบบกะปริบกะปรอยจากโครงการต่างๆ แบบให้นู้นนิดนี้หน่อยเหมือนของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีโครงการยิบๆย่อยๆ ทั้งคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อบใช้ ช้อบดีมีคืน ฯลฯ เศรษฐากับคอกแม้วย่ามใจคิดว่านโยบายนี้เป็น “ของวิเศษ” เป็นยาใจคนใจที่จะทำให้เพื่อไทยก้าวถึงฝันได้แลนด์สไลด์ 310 คน เป็นรัฐบาลสมใจได้เก้าอี้นายกฯคนที่ 30 สำเร็จ
แต่ฝ่ายค้านฝ่ายตรงข้าม คนดีคนเก่งคนรักบ้านเมือง กลับเห็นต่างและมองว่านโยบายเรื่องนี้เป็นการออกนโยบายแบบขาดความรับผิดชอบ สุกเอาเผากิน มุ่งหวังหาเสียงอย่างสุดโต่ง โดยใช้แนวนโยบายประชานิยมแบบสุดขั้ว ทำลายวินัยการเงินการคลัง สร้างนิสัยไม่ดีให้คนไทย แบมือขอตังค์แบบไม่มีวันจบสิ้น เป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว แค่เห็นรายละเอียดโครงการหลายคนก็ฟันธงออกมาเลยว่าพังตั้งแต่ไม่มุ้ง ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงไม่มีทางไปต่อได้ งานนี้นโยบายยังไม่เริ่มใช้แต่ดูเหมือนจะถูกดาหน้าถล่มตั้งแต่เปิดหน้าประกาศนโยบายออกมา ล่าสุดเป็นคิวของ “อ.แก้ว” แก้วสรร อติโพธิ์ นักวิชาการอิสระ ออกมาเขียนบทความถอดรหัสเรื่องการแจกเงินดิจิตอล ตั้งคำถามว่าเป็นการ “ติดสินบนเลือกตั้งหรือไม่” เพราะเป็นการแจกหว่านแหก่อนหน้าการเลือกตั้ง ” ตามความเข้าใจของผมนั้นเงินดิจิตอลของเพื่อไทย ก็คล้ายกับคูปอง ที่เราต้องซื้อเวลาไปศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้า ซื้อมาแล้วก็ใช้ได้แต่ซื้ออาหารในศูนย์นั้นเท่านั้น….ถ้าผมไปเป็นผู้สมัคร ส.ส. แล้วประกาศว่า ชนะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ห้างเดอะมอลล์จะแจกคูปองอาหารให้พี่น้อง 6 เดือนเลย อย่างนี้ผมผิด กฎหมายเลือกตั้งฐานสัญญาว่าจะให้ไหม? คำตอบคือ ผิดครับ คุณจะให้เองหรือเดอะมอลล์ให้ ก็ผิดเหมือนกัน….ช่วยตอบผมหน่อย ถ้าผมอยู่หมู่บ้านโนนหมาว้อแล้วผมจะเอาเงินดิจิตอลไปซื้ออะไรได้บ้างในรัศมีสี่กิโล จึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโนนหมาว้อตามระบบเงินดิจิตอลเพื่อไทย ? ซื้อปลาสด ซื้อผักในตลาด ที่เป็นสินค้าชุมชนจริงๆ อย่างนี้ใช้ระบบเงินดิจิตอลได้หรือไม่ อะไรคือหลักฐานธุรกรรม หรือต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษีแวตเท่านั้น ถ้าใช่..แล้วมันกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างไร เมื่อเงินมันไหลเป็นน้ำเข้า 7/11 หมด” อ.แก้วสรรตั้งคำถาม
อีกคนที่ออกมาท้วงติงเรื่องนี้แบบมีเหตุมีผลคือ ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เขียนข้อความเรื่องภาระการคลังของการแจกเงิน โดยระบุว่า แจกเงินหนึ่งหมื่นให้คนไทยอายุ 16ปี จำนวน 55 ล้านคน ต้องใช้เงิน 550,000 ล้านบาท ถามว่าจะเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาจากไหน เพราะเก็บภาษี VAT 7% เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็จะได้เงินแค่ 38,500 ล้านบาท แต่จริงๆเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะร้านขายของในละแวกบ้าน ดังนั้นยังต้องหาเงินมาโปะส่วนที่ขาดอีก 511,500 ล้านบาท เทียบเท่า 17 ถึง 18% ของงบประมาณของปี 2023 นอกจากนี้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปี 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 61.36% ถ้าต้องกู้มากขึ้นอีก 500,000 ล้านบาทสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 2.8% รวมเป็น 64.16%
” นโยบายแจกเงินนี้มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะโตประมาณ 3 ถึง 4% โดยมีตัวช่วยคือการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาในช่วงโควิดรัฐบาลได้ใช้เงินไปในการพยุงเศรษฐกิจมามากพอแล้ว ปีหน้าจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องกระตุ้นต่อเนื่อง และการจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตโดยการใช้จ่ายเป็นวิธีที่ไม่รับผิดชอบ ไม่มีผลในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว เห็นนโยบายไร้ความรับผิดชอบแบบนี้แล้วเศร้าใจค่ะ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน คอยแต่จะแบมือรับ แทนที่จะติดอาวุธให้ประชาชนมีทักษะ มีความสามารถในการยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติสับแหลกนโยบายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เหวี่ยงแหแจกเงินแบบไม่สนสี่สนแปดว่าจะสร้างหนี้สาธารณะให้ประเทศมากน้อยขนาดไหน อย่าคิดว่าปล่อยนโยบายสุ่มสี่สุ่มห้าออกมาแล้วจะรอดจะไม่มีภาระผูกพันอะไรที่เอาผิดลงโทษเพื่อไทยคอกแม้วได้
ล่าสุดศรีสุวรรณ จรรยา กับ สนธิญา สวัสดี ก็ไปร้องกกต.ให้เอาผิดพรรคเพื่อไทยออกนโยบายหาเสียงแบบหลอกลวงและสัญญาว่าจะให้อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ” เมื่อพรรคเพื่อไทยแจ้งว่าไม่ใช่คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) เป็นเพียงเหรียญ (คูปอง) ที่สามารถเอามาแลกเป็นเงินบาทได้นั้น อาจถือได้ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังสร้างเงินตราในรูปแบบใหม่ขึ้นมาใช้ จึงอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยตรง จึงไม่ต่างอะไรกับเบี้ยกุดชุม ของชุมชนตำบลนาโส่ อ.กุดชุม จ.ยโสธร ที่โด่งดังเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และหรือกระทรวงการคลังได้ออกมาชี้แล้วในขณะนั้นว่าเป็นการใช้และกำหนดเงินตราที่ผิดกฎหมายหาก กกต.วินิจฉัยว่าเข้าข่าย พรรคเพื่อไทยก็จะต้องระงับการใช้นโยบายดังกล่าวโดยทันที และอาจมีความผิดตามมาตรา 73(5) แห่ง พรป.เลือกตั้ง ส.ส.2561 ฐานหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคอาจต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1 – 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนด 20 ปีอีกด้วย” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยระบุ ขณะที่กกต.ก็เรียกข้อมูลจากเพื่อไทยให้แจกแจงรายละเอียดของนโยบายว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เอาเงินมาจากไหน ใครได้ประโยชน์ ความคุ้มค่า ความเสี่ยงโครงการ ฯลฯ สารพัดจิปาถะที่เพื่อไทยต้องลุ้น ฝ่าด่านกระแสสังคม ฝ่าด่านข้อกฎหมาย ไม่รู้เพื่อไทยกับเศรษฐาจะรอดสันดอนคราวนี้ไหม แต่เพื่อไทยลุยไฟประกาศกร้าวโครงการนี้เป็นธงนำในการเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 ที่จะถึง จากนี้ก็ต้องตามดูว่าสุดท้ายปลายทางนโยบายเงินดิจิทัลจะพาเพื่อไทยพาเศรษฐาได้เข้าสภาหรือจะเข้าซังเต
///////////////////////////