“ธนาธร” โวใหญ่ก้าวไกลนำเปลี่ยนแปลงรถเมล์ไฟฟ้ากทม. แท้จริงรัฐบาล “บิ๊กตู่” คิดทำสำเร็จก่อนแล้ว

"ธนาธร" โวใหญ่ก้าวไกลนำเปลี่ยนแปลงรถเมล์ไฟฟ้ากทม. แท้จริงรัฐบาล "บิ๊กตู่" คิดทำสำเร็จก่อนแล้ว

กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ภายหลังจากที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร เห็นชอบหลักการญัตติร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง รถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ พ.ศ. … วาระที่ 1 ด้วยคะแนน 33 ต่อ 3 เสียง โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญว่าด้วยการกำหนดให้รถเมล์ใหม่ในกรุงเทพทุกคันต้องเป็นรถเมล์ไฟฟ้า (EV) และภายใน 7 ปี รถเมล์ในกรุงเทพต้องเป็นรถเมล์ไฟฟ้าทั้งหมด

ทั้งนี้ เพื่อควบคุมปริมาณมลพิษที่ออกจากรถยนต์ ไม่ให้เกินเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อประชาชน จึงเห็นควรมีมาตรการกำหนดให้รถโดยสารประจำทาง ปรับปรุงเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ไม่ส่งผลกระทบต่อมลภาวะทางอากาศ และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาทางเทคโนโลยีของรถยนต์ทั่วโลก บังคับใช้ในกรุงเทพมหานคร

และต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้นำประเด็นนี้ไปโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า กฎหมายรถเมล์อนาคตผ่านสภากรุงเทพแล้ว สมาขิกสภากรุงเทพของพรรคก้าวไกล เปิดมิติใหม่ในการพัฒนาเมือง

รวมถึงยังอ้างว่าที่ผ่านมา เราแทบไม่เคยเห็นกรุงเทพ, อบจ. จังหวัดต่างๆ, เทศบาล หรือ อบต. เสนอกฎหมายเพื่อการพัฒนาบ้านเมืองตัวเองเลย การพัฒนาล้วนแต่ถูกกำหนดกฎเกณฑ์และรูปแบบผ่านส่วนกลาง

กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นหมุดหมายประวัติศาสตร์ของการพัฒนาท้องถิ่น เป็นการเปิดประตูบานใหม่ เป็นการเพิ่มเครื่องมือในการพัฒนาเมืองให้กับท้องถิ่น

รวมถึงหวังว่าในอนาคต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ จะนำเครื่องมือนี้มาใช้พัฒนาบ้านเมืองตัวเองมากขึ้น และหวังว่าคนกรุงเทพจะเห็นถึงความตั้งใจของพรรคก้าวไกล ทั้งในการดูแลประชาชน ดูแลสิ่งแวดล้อม และมลพิษทางอากาศ และในทางความพยายามที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่คนมักคิดว่าเป็นไปไม่ได้

อย่างไรก็ตามทางด้าน นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา พรรคก้าวไกล ผู้เสนอญัตติดังกล่าว ระบุตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ว่า ภายหลังจากที่กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภา กทม. จะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 1 ปี ถ้าพ้นจาก 1 ปีไปแล้ว นอกจากรถเมล์ที่ยังมีสัมปทานเดินรถ รถเมล์ไฟฟ้าเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางสัญจรได้ในพื้นที่ กทม.

ส่วนรถเมล์ที่มีสัมปทานเดินรถเดิมก็จะทยอยหมดอายุสัมปทาน ซึ่งอายุสัมปทานนานที่สุดที่มีการต่อคือ 7 ปี นั่นหมายความว่าภายใน 7 ปี รถเมล์ทั้งหมดที่วิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ จะเป็นรถเมล์ EV ทั้งหมด

“เรื่องนี้เป็นการใช้อำนาจของท้องถิ่นปกป้องชีวิตคนในเมือง ในอดีตก็เคยมีการใช้อำนาจแบบเดียวกันมาแล้วในสมัย อดีตผู้ว่า กทม. พิจิตร รัตกุล ที่เคยสั่งห้ามรถเมล์ที่ก่อมลพิษเกินค่ามาตรฐานเข้ามาวิ่งในกรุงเทพฯ”

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก Street Hero V3 โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวว่า “คุณช่อออกมาเคลมผลงานเรื่องรถ EV แต้จริงๆแล้วเป็นโครงการของรัฐบาลมาก่อนแล้ว”

 

และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะในการให้บริการประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 ก.ค.65 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าภายในปีนี้ จะให้มีรถเมล์ไฟฟ้าออกมาให้บริการประชาชน ประมาณ 1,000 คัน

โดยทางกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนให้เกิดกระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมได้อนุมัติให้ ขสมก. ดำเนินโครงการจ้างเหมาบริการรถโดยสารปรับอากาศที่ใช้พลังงานสะอาด (รถไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเดินรถและลดมลภาวะเป็นพิษในเขตเมือง จำนวน 224 คัน เพื่อให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการจัดหาจ้างเหมาบริการรถเมล์ไฟฟ้าเร่งด่วน มารองรับกรณีที่รถเมล์ ขสมก. ไม่เพียงพอต่อการบริการประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงรถที่นำมาใช้เพื่อรองรับการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือ เอเปค ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งปัจจุบันรถเมล์ ขสมก. มีวิ่งให้บริการอยู่ 2,885 คัน ใน 107 เส้นทาง วิ่งให้บริการอยู่ 17,000 เที่ยวต่อวัน และได้มีการปรับประสิทธิภาพให้วิ่งเพิ่มได้ถึง 19,000 เที่ยวต่อวันโดยการเพิ่มรอบความถี่ ขณะที่ในช่วงขณะนี้ราคาน้ำมันแพง ประชาชนหันมาใช้บริการรถเมล์ ขสมก. มากขึ้น จากเดิมผู้ใช้บริการ 600,000 คนต่อวัน ปัจจุบันสูงถึง 707,000 คนต่อวัน

ส่วนรถไฟฟ้าจากเดิมมีผู้ใช้บริการไม่ถึง 1 ล้านคน ขณะนี้ขยับไปถึง 1.2 ล้านคน ดังนั้น จากปัจจัยความต้องการต่าง ๆ ขสมก. จึงได้เตรียมดำเนินการโครงการจ้างเหมาบริการรถไฟฟ้าจำนวน 224 คัน มาเสริมการบริการ โดยเป็นการดำเนินการระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี ในช่วงทดแทนที่แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ จะสามารถรับมอบรถเข้ามาวิ่งให้บริการในลอตแรกเดือน พ.ย. จำนวน 90 คัน นอกจากนี้ ตามแผนจะมีรถเมล์ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกอีกใน 77 เส้นทางใหม่ ลอตแรกจะออกมาวิ่งให้บริการจำนวน 175 คัน ในเดือน ส.ค. 65 และจะออกมาวิ่งในระบบอีกในเดือน ต.ค. 65 รวมเป็น 750 คัน ซึ่งจะทำให้รถเมล์บริการทั้งระบบรวมรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการรวมไม่น้อยกว่า 25,000 เที่ยวต่อวัน จากปัจจุบันวิ่งให้บริการประชาชนที่ 17,000-19,000 เที่ยวต่อวัน ทำให้รองรับผู้โดยสารได้ถึง 1 ล้านคนต่อวัน

“นายกรัฐมนตรียังมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า อยากเห็นการปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทย โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างอย่างจริงจัง ทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ลดภาระของประชาชนในการพึ่งพิงน้ำมัน และยังถือเป็นการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำที่หวังว่าจะเกิดขึ้นในไทยได้ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้”

 

 

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง เห็นชอบ หนังสือการอนุญาต (Letter of Authorization: LoA) ให้ดำเนินโครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะของภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (รถร่วมบริการ) ในพื้นที่ กทม. และมอบหมายให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ลงนามในหนังสืออนุญาตให้แก่บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เพื่อถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการดำเนินโครงการตั้งแต่ พ.ศ. 2564 – 2573 (ค.ศ. 2021-2030) ให้แก่มูลนิธิ KLiK (The Foundation for Climate Protection and Carbon Offset) ของสมาพันธรัฐสวิส

พร้อมระบุโครงการ ฯ ดังกล่าว เป็นการริเริ่มการเปลี่ยนผ่านจากรถโดยสาร สาธารณะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นรถโดยสารสาธารณะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ครอบคลุมเส้นทางเดินรถโดยสารไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประจำทางจากกรมการขนส่งทางบก โดยคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจก 100 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/คัน/ปี หรือ 500,000 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564-2573 (10 ปี) ซึ่งจะส่งเสริมให้ประชาชนได้เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะที่มีความทันสมัยปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิลต่ำ การลดฝุ่น PM 2.5 เปลี่ยนจากพลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานสะอาด เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางของประชาชน ซึ่งช่วยให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมคุณภาพ ชีวิตและสุขภาพของประชาชนดีขึ้น

 

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามความตกลงปารีสระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิส ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ เปิดโอกาสให้ภาคส่วนในประเทศไทยสามารถถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิส ช่วยต่อยอดการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้เป็นไปตามแผนนโยบายพลังงาน และยุทธศาสตร์พลังงานแห่งชาติ รองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศ

โดยเฉพาะการปรับตัวสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30 หรือ เป็นแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ ด้วยการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือ รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งไทยเป็นหนึ่งประเทศในโลกที่เดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก

 

 

และเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมผลงานวิจัยและนวัตกรรม “การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าโครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses)” ณ บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

“วันนี้ต้องเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านใช้รถไฟฟ้า โดยต้องทำให้ได้มาตรฐาน และเดินหน้ามาตรฐานควบคุมการปล่อยมลภาวะของเครื่องยนต์ใหม่ ยูโร 5 และ ยูโร 6 อย่าให้มีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง และอย่าให้เสียง่าย เพราะถ้าหากเสียง่ายก็เสียชื่อ จึงขอให้ปรับระบบให้ดี ให้สามารถวิ่งลากยาวให้ได้ ประกอบให้ดี ขณะที่ชิ้นส่วนต่างๆผลิตในประเทศส่วนใหญ่ใช่หรือไม่ ซึ่งตนอยากให้เป็นชิ้นส่วนที่ผลิตในเมืองไทยทั้งหมด เพื่อได้พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่ม

“รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าไปด้วยความรวดเร็ว แต่จะต้องไม่กระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย หลายอย่างเราทำเพื่อประชาชนทั้งนั้น อย่าบอกว่าเราไปให้เฉพาะคนรวยหรือเจ้าของบริษัท ซึ่งไม่ใช่ แต่ทำอย่างไรให้เขามาช่วยเราในการทำให้ประชาชนสามารถใช้บริการได้และประหยัด ในวันหน้าราคาถูกลง”

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส" ยันลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปัดช่วย "ผู้สมัคร" หาเสียงชิ้งเก้าอี้ นายก อบจ.
หิมะขาวตกห่มหิน ราว‘เห็ดหิมะ’ ในจีน
เกาหลีเหนือขู่ขยายกองทัพนิวเคลียร์แบบไร้ขีดจำกัด
“บิ๊กเต่า” พบเส้นเงินใหม่จากบัญชีแม่ ถึงนาย ส.อีก 10 ล้าน จ่อส่งให้ DSI ทำคดีฟอกเงิน
ตำรวจเชิญ “ปานเทพ” ให้ข้อมูลเพิ่ม ฐานะพยาน “คดีทนายตั้ม” รู้เบาะแสแบ่งเงิน 39 ล้าน ให้ใครบ้าง
"ตร.สภ.วังจันทร์" นำตัวผู้ต้องหาฆ่าตัดนิ้วแม่ยายอัยการ ชี้จุดนำทองมาขาย
DSI สอบปากคำ ‘บอสพอล’ ปมคลิปเสียง ‘กฤษอนงค์’ พาดพิงหน่วยงาน อ้างจ่าย 10 ล้าน
คุมตัวผู้ต้องหาทำแผน คดีฆ่าตัดนิ้วนางทั้งสองข้างแม่ยายอัยการ
“อนุทิน” ไม่ไปช่วยหาเสียง "นายกอบจ.สุรินทร์" ชี้ขอวางตัวเป็นกลาง
นรข.สร้างผลงานเด่น จับยาบ้าริมโขง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น