เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2566 ครอบครัวรัตนพันธ์ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอฝากให้ถึงหูผู้ถือหุ้น SC ก่อนลงมติ “เรื่อง SC ASSET เตรียมขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นซื้อที่ดิน 22 แปลงมูลค่าประมาณ 1.239 ล้านบาท จากครอบครัวชินวัตร” โดยมีเนื้อหาระบุว่า
ด้วย SC มีมติเห็นชอบเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์วันที่ 19 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2535 เปิดช่องให้กระทำรายการที่เกี่ยวโยงกันได้ ไม่ผิดอะไรในแง่ของกฎหมาย แต่ในแง่ของศีลธรรมจรรยาและความเป็นมนุษย์ คุณอ้อ คุณอุ๊งอิ้ง คุณเอม และคุณณัฐพงศ์ ลูกเขย นายทักษิณ ชินวัตร ได้เคยหันกลับมาตระหนักคิดถึงความถูกผิดที่ได้กระทำกับผู้อื่นไว้บ้างหรือไม่ คุณยังหลงเหลือตุ่มความคิดดี ความรับผิดชอบดีต่อผู้อื่นอยู่หรือไม่ เคยตระหนักคิดหรือไม่ว่าต้องเร่งแก้ไขเยียวยาต่อเพื่อนมนุษย์ในสิ่งที่ตนกระทำทารุณกรรมไว้อย่างอำมหิตต่อเนื่องมา 6 ปีเศษ หากสำนึกได้บ้างตนเองจะได้หลุดพ้นบาปกรรม หากไม่เร่งสำนึกปล่อยเวลาลากยาวเพื่อหวังได้อำนาจจักได้แทรกแทรงความจริงเปลี่ยนแปลงความถูกต้องจนสมใจอยาก ถึงวันนั้นสังขารแม่เฒ่ารอไม่ไหวอาจสิ้นลมเสียก่อน ถ้าถึงวันนั้นเงิน 1,000 ล้าน 10,000 ล้าน ก็ไม่สามารถนำมาเยียวยาให้กับรัตนพันธ์ได้ ชินวัตรกับ SC คงได้ล้มกันไปข้างเมื่อพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเด็กน้อยทั้ง 7 จงใจเพิกเฉยไร้คุณธรรมไร้ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ กล่องดวงใจทั้ง 7 ของชินวัตรไม่น่าต้องมารับเวรกรรมจาก DNA ที่ผิดปกติ ให้มีข่าวฉาวติดตัวตามหลอกหลอนจนเติบใหญ่
“วันหนึ่ง ถ้าท่านเห็นคนแก่ล้มต่อหน้า ท่านจะเข้าช่วยเหลือหรือไม่…และถ้าคนแก่ไม่ได้ล้มด้วยตนเองแต่กลับถูกผลักให้ล้มลง เรา ท่าน จะนิ่งเฉยกับผู้ผลักให้คนแก่ล้มลงหรือไม่” (คิดถึงฐานันดรที่ 4)