สาวเหยื่อโควิด เปิดใจ  ร้องถูก”รพ.สิชล” ทิ้งไข้ สุดสงสัยนำเคสไปเบิกเงินหรือไม่?

ทีมข่าว Top news ยังคงติดตามประเด็น โรงพยาบาลสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช รับผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษา Home isolation หลังขึ้นมาตรวจเชิงรุกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ล่าสุดพบผู้ป่วยโควิด-19 อาการดีขึ้น ระบุ ตนเองเป็นกลุ่มผู้ป่วยแต่กลับไม่ได้รับการดูแลรักษาเท่าที่ควร

ผู้สื่อข่าว Top News เดินทางเข้าพูดคุยกับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด19 ซึ่งเป็นหญิงสาว มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีอาชีพรับราชการเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ข้อมูลว่า ครอบครัวของเธอ มีกัน 4 คน คือตัวเธอ สามี และลูกอีก 2 คน ทราบผลการติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจากการไปตรวจเชิงรุกที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ก็มีเบอร์โทรศัพท์จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. โทรเข้ามาสอบถามข้อมูล และทำการ ลงทะเบียนเป็นผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้าสู่การรักษาระบบ HI

 

ต่อมาวันที่ 2 8- 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตัวเธอและสามีเริ่มมีอาการ แต่ลูกๆ ยังไม่มีอาการ กระทั่ง วันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้รับข้อความจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช  ยืนยันว่า เธอ สามี และลูกอีก 2 คน โรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นผู้ดูแลรักษาผ่านระบบ HI ตอนนั้นก็เอะใจว่า ครอบครัวเธอภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ แต่ทำไมโรงพยาบาลที่รักษาถึงอยู่ไกลกรุงเทพฯ แต่เวลานั้น ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากต้องการรับการรักษาให้เร็วที่สุด

 

ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19  เล่าอีกว่า นับตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม จนถึงวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา โรงพยาบาลไม่เคยโทรมาสอบถามอาการของเธอ ไม่เคยมีแพทย์ Video Call ไม่เคยได้รับเครื่องมือตรวจวัดสัญญาณชีพ เช่น เครื่องตรวจออกซิเจนที่ปลายนิ้ว ปรอทวัดไข้ ยา ชนิดต่างๆ ช่วงเวลาดังกล่าวเธอต้องรักษาอาการตามมีตามเกิดเปิดจาก YouTube อ่านจากโลกออนไลน์ ฝากให้เพื่อนบ้านออกไปซื้อเครื่องสมุนไพร เช่น ข่าตะไคร้ ยาฟ้าทะลายโจรมากิน รักษากันโดยลำพัง

 

สุดท้ายต้องโทรไปร้องเรียนที่เบอร์ 1330 เพื่อร้องเรียนว่า ไม่มีพยาบาลหรือแพทย์โทรมาสอบถามอาการ จนในที่สุดโรงพยาบาลก็โทรมาสอบถามอาการเชื่อว่าที่โรงพยาบาลโทรมาเนื่องจากเธอโทรไปร้องเรียนที่เบอร์ 1330 นั่นเอง

 

ผู้ป่วยโควิด-19 รายนี้ เล่าต่ออีกว่า เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม โรงพยาบาลก็ได้ส่งใบรับรองแพทย์มาให้ เพื่อยืนยันว่าอาการเธอดีขึ้น ซึ่งเธอก็ยังงงอยู่ว่า แพทย์จะวินิจฉัยว่าอาการเธอดีขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อทีมแพทย์ไม่เคยโทรมาสอบถามอาการเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

สิ่งที่อยากฝากสื่อมวลชนคือ ทำไม สปสช.ถึงลงชื่อเธอและครอบครัวให้โรงพยาบาลแห่งนี้ดูแล ทั้งที่ภูมิลำเนาเธออยู่ในกรุงเทพฯ จึงทำให้การรักษาและการติดตามอาการเป็นไปอย่างล่าช้า หากอาการทรุดหนักกว่านี้ จะมีแพทย์ที่ไหนดูแลเธอได้

 

ส่วนโรงพยาบาลแห่งนี้ ก็อยากฝากคำถามไปเช่นกันว่า ในเมื่อรับเธอและครอบครัวเข้าสู่ระบบการรักษาแบบ Home isolation แล้ว ทำไมไม่ดูแลให้ดีๆ เพราะ 14 วันที่อยู่ในการดูแลรักษาของโรงพยาบาลดังกล่าว เธอไม่ได้รับ ยาหรืออุปกรณ์การตรวจวัดสัญญาณชีพใดๆเลย มีแค่คูปองอาหารสั่งแบบเดลิเวอรี่เท่านั้นที่ได้จากโรงพยาบาลแห่งนี้

 

สำหรับผู้ป่วย ทั้ง 4 รายนี้ ได้รับเพียงใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลดังกล่าวเท่านั้น หลังจากครบ 14 วัน โรงพยาบาลดังกล่าวก็ไม่ได้ติดต่อ มาหาผู้ป่วยอีก ทำให้ผู้ป่วย ยังกังวลใจว่าเธอหายจากโควิด-19 โดยเด็ดขาดแล้วหรือยังเนื่องจากว่าเธอยังไม่ได้รับการตรวจหาเชื้ออีกครั้ง เช่นการตรวจเอกซเรย์ปอด พร้อมกับฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้พาเธอและครอบครัวไปตรวจยืนยันอีกรอบด้วย เนื่องจากมีผลต่อหน้าที่การงานและอาชีพ

 

ขณะเดียวกัน สำนักข่าว Top News ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพ หรือ สปสช ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้นจริง ๆ และทาง สปสช.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการตรวจสอบทุกข้อร้องเรียนเนื่องจากทาง สปสช.มีการคิด “ค่าใช้จ่าย” ต่อผู้ป่วยโควิด 1 คนตามกิจกรรมที่เกิด เช่นในหนึ่งวันที่แพทย์ไปดูแลคนไข้ สปสช.จะจ่าย 1 พันบาทต่อคนต่อวัน และจะดูแลไม่เกิน 14 วัน ฉะนั้นเงินที่หน่วยบริการจะเบิกกับ สปสช.สูงสุดไม่เกิน 14000 บาท ซึ่งหนึ่งพันบาทที่จ่ายนี้จะมีค่าอาหาร ค่าการโทรศัพท์ การวิดีโอคอล คุยกับคนไข้

 

อีกทั้ง หน่วยบริการสามารถเบิกค่าอุปกรณ์ ได้อีก 1100 บาท  เช่นเครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดอ็อกซิเจนในเลือด การจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้ เช่นยาฟ้าทะลายโจรเบิกได้ 300 บาทต่อคอร์ส 5 วัน ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ก็เบิกตามจริงไม่เกิน 7200 บาท เมื่อคิดรวมทั้งหมดผู้ป่วยหนึ่งคนจะอยู่ที่ 15400 บาทต่อคน

 

นายแพทย์จเด็จ เปิดเผยต่ออีกว่า สำหรับประเด็นที่กำลังมีคนสนใจอย่างโรงพยาบาลสิชล มารับดูแลคนไข้ในกรุงเทพมหานครจำนวน 18920 คนนั้น จะได้รับเงินค่าตอบแทนต่อหัวตามที่ สปสช.กำหนดนั้นขอยืนยันว่า ทางสปสช.มีมาตรฐานการตรวจสอบกับผู้ป่วยทุกคน โดยขณะนี้มีคอลเซ็นเตอร์ กว่า 300 คู่สาย และจะทำการตรวจสอบกับผู้ป่วยทุกคนว่าได้รับการบริการตามที่กำหนดหรือไม่ หากคนไข้ร้องเรียนหรือแจ้งว่าไม่ได้รับบริการ การจะมาเบิกรายหัวเต็มจำนวนก็คงทำไม่ได้ ทุกอย่าจึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

5 วิลล่าที่ดีที่สุด บนเกาะสมุย สำหรับการพักผ่อนสุดหรู
ผุดไอเดีย สุดเจ๋ง ติดตั้งนวัตกรรมประดิษฐ์รั้วไฟฟ้าแรงต่ำ 12 โวลท์ ป้องกันภัยช้างป่า
ปราบปราม เด็กแว้นอันธพาลครองเมือง
จบด้วยดี!! ปัญหาเงินทอดกฐินกว่า 1 ล้านบาท ”วัดหนองนกเมืองคอน” จบชื่นมื่น
พบเด็กแฝดตาสีฟ้า แม่ยอมรับรู้สึกท้อ ลูกถูกล้อเลียน ซ้ำมิจฉาชีพนำรูปไปแอบอ้างเปิดรับบริจาค
"ทนายเดชา" เชื่อ "ทนายตั้ม" พร้อมสู้คดี เคยพูดคุยมีหลักฐานแชทสนทนา
ททท.โคราช ชวนสัมผัส “เทศกาลเที่ยวพิมาย 2567” ตื่นตาตื่นใจการแสดงแสง สี เสียงเทคนิคพิเศษสุดตระการตา
“ออยศรี” เข้าให้ข้อมูลคดีของทนายตั้ม เจ้าตัวเชื่อ “เจ๊อ้อย” ไม่ได้ให้เงินด้วยความเสน่หา
กล้าล้วงคองูเห่า!! แก๊งมิจฉาชีพอ้างชื่อผู้การฯเมืองคอนโทรหลอกนักข่าวใหญ่ขอความช่วยเหลือยืมเงิน 36,000 บาท
"เต๋า สมชาย" เล่าความประทับใจ ไปชมโขนพระราชทาน ได้เจอ "บิ๊กตู่" เผยแค่ยืนใกล้ๆก็สุขใจยิ่งนัก

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น