22 พ.ค.2566 ภายหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไป 2566 มาได้ 8 วัน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลแคนดิเดตนายกฯของก๊วนส้มล้มเจ้า นำแกนนำ 8 พรรค 313 เสียง ประกอบด้วย ก้าวไกล 152 คน เพื่อไทย 141 คน ประชาชาติ 9 คน ไทยสร้างไทย 6 คน เพื่อไทรวมพลัง 2 คน เสรีรวมไทย 1 คนเป็นธรรม 1 คน พลังสังคมใหม่ 1 คน แถลง MOU ข้อตกลงร่วมกันในการในการเดินหน้าบริหารประเทศนับจากนี้ หลักใหญ่ใจความของ MOU ก็คือหัวใจของเนื้องานที่รัฐบาลก้าวไกลวาดฝันไว้ว่าจะเดินหน้าต่อไปนับจากนี้ หากพิธาได้เป็นนายกฯ ก้าวไกลได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
สำหรับเนื้อหา MOU 23 ข้อ ที่ทั้ง 8 พรรคเห็นร่วมกันว่าจะเป็นภารกิจของรัฐบาลที่ทุกพรรคจะต้องร่วมกันผลักดันประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ 1. ฟื้นฟูประชาธิปใตย รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญบับใหม่ของประชาชนให้เร็วที่สุด 2. ผลักดันการอำนวยความยุติธรรมในคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมืองผ่านกลไกของรัฐสภา 3. ยืนยันและผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยจะไม่บังคับประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่ตนเองนับถือ 4. ผลักดันการปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย 5. เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ 6. ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 7. ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชน 8. แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐในทุกหน่วยงาน 9. ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหสื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม 10. ยกเครื่องกฎหมายเกี่ยวกับการทำมาหากิน และการดำรงชีวิตของประชาชน
11. ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 12. ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ 13. ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตไฟฟ้า การคำนวณราคา และกำลังการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน 14. จัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ (zero-based budgeting) 15. สร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย 16. แก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเร่งด่วน 17. นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา 18. ส่งเสริมเกษตรและปศุสัตว์ปลอดภัย คุ้มครอง รักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร 19. แก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน 20. ยกระดับสิทธิแรงงานทุกอาชีพให้มีสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม และได้รับค่แรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับคำาครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ 21. ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 22. สร้างความร่วมมือและกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ์ให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเร็วที่สุด 23. ฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเชียน และรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับประเทศมหาอำนาจ ขณะที่ ม.112 ไม่มีในเอ็มโอยู แต่พิธาตอบคำถามว่าแก้แน่นอน เพื่อปกป้องสถาบันและให้เทียบเคียงกับนานาอารยะประเทศ
ดูตามนี้แม้ไม่มีการแก้ไข ม.112 อยู่ใน MOU ที่พิธากับก้าวไกลประกาศ แต่เอาจริงๆ ไม่มีคนไทยหัวใจบริสุทธิ์ ไม่มีคนไทยที่รักชาติรักสถาบันคนใดจะเชื่อว่า พิธาและพลพรรคก้าวไกลจะไม่แก้ ม.112 นะไม่รื้อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะไม่รุกรานสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่อุดมการณ์ล้มเจ้าเป็นอย่างไรในอดีตจนถึงวันนี้มันก็เป็นแบบนั้น อย่าลืมว่าก้าวไกลปัจจุบันก็คืออนาคตใหม่ในอดีต แกนนำปัจจุบันอาจเปลี่ยนหน้าเป็น “พิธา-ชัยธวัช-โรม-วิโรจน์” แต่อดีตก็สืบทอดความคิดรับเอาอุดมการณ์มาจาก “ธนาธร-ปิยะบูด-ช่อฟ้า” ฝังห้วล้มเจ้าโปรไอ้กันต้องการเปลี่ยนการปกครองประเทศ คนไทยรักชาติรู้เช่นเห็นชาติพวกนี้ดี หลักฐาน ข้อความ คำพูด เนื้อหา ที่คนพวกนี้ต้องการล้มล้างสถาบันต้องการเหยียบย่ำเจ้านายต้องการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองของประเทศก็มีมากมาย หาได้ตามโซเชี่ยล ส้มล้มเจ้า เสิร์ซแปปเดียวเนื้อหาก็ผุดขึ้นเป็นพะเรอเกวียน ว่าแนวคิดสุดอุบาทว์ความคิดหยาบช้ำแบบนี้มันมีอยู่จริง
ย้อนอดีตไปไว้ๆ ปิยะบูดเคยนำเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญ หมวด 2 พระมหากษัตริย์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวของตัวเอง ชูไอเดียสุดชั่วช้าสามานย์แบบไม่เคยพบเคยเห็น 10 ประเด็นสำคัญ ในการรื้อล้างสถาบันแบบต่ำตม เมื่อ 10 ส.ค. 2564 ผ่านเฟซบุ๊ก “Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล” นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์ จากนั้น 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นี้แหละ ที่ถูกกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำไปปราศรัยและประกาศในการชุมนุมที่ลานพญานาค ม.ธรรมศาสตร์ ในช่วงเย็นวันนั้น 10 ข้อที่ว่าได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ไว้ดังนี้ 1. กำหนดพระราชสถานะประมุขของรัฐ ศูนย์รวมจิตใจ และความเป็นกลางทางการเมือง 2. กำหนดพระราชอำนาจ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน 3. เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ให้เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ 4. ยกเลิกองคมนตรี 5.เปลี่ยนแปลงกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ การเสนอพระนามองค์รัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ 6. กำหนดให้พระมหากษัตริย์และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ 7. กำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์ต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียใหม่ ให้สภาผู้แทนราษฎรเข้ามามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบ 8. กำหนดระบบเงินรายปีแก่พระมหากษัตริย์ โดยให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการกำหนดวงเงินและอนุมัติ 9. ยกเลิกการลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า ให้คงไว้เพียงการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยและอำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น อันได้แก่ รัฐมนตรี ตุลาการศาลยุติธรรม ผู้พิพากษา ตุลาการศาลปกครอง และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และ 10. ยกเลิกพระราชอำนาจในการยับยั้งการลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา
“ในส่วนของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในประเด็นอื่นๆ เช่น พระราชอำนาจในการยับยั้งการประกาศใช้กฎหมายเป็นการชั่วคราว การจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ การปฏิรูปส่วนราชการในพระองค์ หรือความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 เป็นต้น นั้น บางกรณีต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดอื่น มาตราอื่น หลายกรณีจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งผมจะยกร่างและนำเสนอต่อสาธารณชนในโอกาสต่อไป” ปิยบุตรเสนอความคิดเห็นการปฏิรูปสถาบัน จากนั้นก็ได้เสนอความเห็นชัดเจนให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 พร้อมกับยกเลิกความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น, แก้ไขกฎหมายทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน, แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับส่วนราชการในพระองค์ ได้แก่ ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 ยกเลิกพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหมไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 แล้วย้อนกลับไปใช้รูปแบบเดิมที่มีสำนักพระราชวังและสำนักราชเลขานุการในพระองค์ มีสถานะเป็นกรม อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายกฯ ปิยบุตร ระบุทิ้งท้ายการโพสต์ในวันนั้นแบบสุดแสบ จี้ใจดำคนรักชาติเทิดทูนสถาบัน “ ยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้เถอะครับ ทำความรู้จักมักคุ้นกับมัน มองมันในฐานะปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ผลย่อมเกิดจากเหตุ ปฏิกิริยาย่อมเกิดจากสภาพที่เป็นอยู่ ช้างในห้อง ตัวนี้อยู่กับเรามานานแล้ว เราอาจตาบอดมองไม่เห็น เราอาจแกล้งมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ ช้างในห้อง ถูกเปิดออกมาหมดแล้ว ลองทำความเข้าใจกับสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องดู แล้วมาหาทางออกร่วมกัน การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ คือ ความจำเป็นของยุคสมัย เราหลีกหนีไม่ได้อีกแล้ว” ปิยบุตร ระบุ
ถามว่าคนไทยได้ยินสิ่งที่ปิยะบูดพูดไหม ได้ยินสิ่งที่ปิยะบูดเขียนไหม ปิยะบูดเป็นอดีตเลขาธิการอนาคตใหม่ พรรคล้มเจ้าชังชาติพรรคแรกของไทย เป็นอาจารย์ที่มีความเห็นสุดโต่งมีความคิดสุดขั้วกับสถาบันกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เป็นผู้นำความคิดของฝ่ายส้มล้มเจ้า เป็นผู้ช่วยหาเสียงของก้าวไกล แต่จริงๆคือกลุ่มผู้นำความคิดของก้าวไกลตัวพ่อ เราจะปล่อยให้คนแบบนี้ พรรคแบบนี้ เสนอคนแบบพิธาที่สนับสนุนแนวคิดเป็นภัยกับสถาบันมาเป็นผู้นำรัฐบาลบริหารประเทศหรือ ไม่ใช่แค่สถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่พิธา ก้าวไกล และฝ่ายส้มจะล้มล้าง แต่ในกระดานของฝ่ายส้มล้มเจ้า ยังมีการหมายหัว ทหารกองทัพ ตำรวจในสตช. ระบบข้าราชการทุกฝ่าย นายทุนยักษ์ใหญ่ของประเทศ กลุ่มโรงไฟฟ้าผูกขาด ฯลฯ เอาง่ายๆฝ่ายตรงข้ามส้ม ก้าวไกลจะกวาดล้างบ่อนเซาะกร่อนทำลายให้หมด คนไทยเชื่อจริงๆ เหรอว่าก้าวไกลคืออนาคตใหม่ของประเทศ เด็กรุ่นใหม่เชื่อจริงๆหรือว่าพิธาจะพาไทยทันสมัยหลุดพ้นความยากจน พี่น้องในต่างจังหวัดเชื่อหรือว่าคนอย่างปิยะบูดกับธนาธรจะคิดถึงคนจนจะคิดถึงคนต่างจังหวัดจะคิดถึงคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากใจจริง อย่าได้แปลกใจที่ส.ว.หลายคนใน 250 คนทั้งหมด จะออกแรงออกตัวออกหน้าสุดฤทธิ์ในการต้านก้าวไกล ของดออกเสียงไม่หนุนพิธา ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงหมอพรทิย์ โรจนสุนันท์ ที่ออกมายืนกรานว่าก้าวไกลแค่มีคะแนนมากสุดจากการเลือกตั้ง แต่ 14 ล้านคะแนนไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของคนไทยที่มี 60 ล้านคนทั่วประเทศ แถมกระตุกขั้วส้มอย่าย่ามใจ ” อย่าประเมินคนไทยรักแผ่นดินคนไทยรักสถาบันต่ำ อย่าดูถูกพลังรักชาติของช้างศึก”
หรือ “ส.ว.เอ๋” สมชาย แสวงการ ที่ออกมาประกาศให้พิธาบอกให้ชัด เขียน MOU ต่อคนทั้งชาติให้ชัดเจน ว่าตัวเอง พวกพ้อง เครือข่าย จะไม่ยุ่งเกี่ยวไม่บ่อนเซาะกร่อนทำลายสถาบันทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่รื้อ ม.112 ไม่แก้รับธรรมนูญ หมวด 1 และ 2 รวมทั้งมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีก 38 ม. ตลอดระยะเวลาที่มีอำนาจเป็นรัฐบาล เพราะเขาเห็นมาแล้วพิสูจน์มาแล้วว่าก้าวไกลไม่ใช่พรรคประชาธิปไตยจริงๆ สู้ไปโกหกไป เรียกร้องประชาธิปไตยไปก็เผาบ้านเผาเมืองไป กลุ่มหนึ่งสู้ในสภาอีกกลุ่มมวลชนก็ออกมาก่อความวุ่นวายบนท้องถนน การเมืองตอแหล พรรคการเมืองตลบตะแลง แกนนำลิงหลอกเจ้าตบตาประชาชน เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเคยเห็น ชนะเพราะสร้างภาพหลอกลวงเกินจริง ชนะเพราะขายฝันสวยหรู ชนะเพราะใช้โซเชี่ยลหลอกลวงประชาชน ทำลายฝ่ายตรงข้ามให้คนไทยสำคัญผิดในข้อมูล ส้มเคลือบยาพิษสวยแต่รูปจูบไม่หอม กินไปมีแต่ตายผ่อนส่ง เตือนพิธา บอกก้าวไกล “รื้อรัฐธรรมนูญ-แก้ ม.112” แตะสถาบันพังแน่นอนตั้งแต่ก้าวแรก อย่าคิดว่าลดเพดานเรื่อง 112 ไม่เอาเรื่องสถาบันมาพูดไม่มีไว้ใน MOU “ลับ ลวง พราง” ไปก่อนสอดไว้ทีหลัง แถลงหล่อๆแบบโง่ๆ แล้วคนไทยจะเชื่อ ว่า “พิธา-ก้าวไกล” จะไม่ทำ ไม่มีทาง บอกเลยว่าคนไทยรักชาติพร้อมตะโกนดังๆ “กู ไม่ กลัว มึง” มีส.ส.แค่ 152 คน มีคนหนุนแค่ 14 ล้านคะแนน โอกาสไม่ได้โหวตนายกฯก็ยังสูง โอกาสถูกเพื่อไทยเสียบก็ยังมีมาก อย่าริอาจมาพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ไม่มีทางสำเร็จ เราเคยมีแดงทุนนิยมสามานย์ว่าร้ายแล้ว แต่รอบนี้ศัตรูของชาติอย่างส้มล้มเจ้าร้ายแรงกว่าหน้าด้านกว่าแยบยลกว่า เพราะซึมลึกไปทั่วตั้งแต่ฟันน้ำนมจนถึงรุ่นฟันหลุด ตั้งแต่รากหญ้า ในเมือง ยันคนชายขอบ คนไทยต้องตาสว่าง ช้างศึกต้องตื่นจากภวังค์ ส้มล้มเจ้ากำลังกลืนกินชาติ เราทุกคนต้องช่วยกันไม่งั้นคนชั่วช้าจะได้ครองชาติ
//////////////////