ดูเหมือนจะไม่ง่ายเสียแล้วสำหรับการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลและรวมถึงการขึ้นเป็นนายกฯของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ไปประกาศตัวว่าเป็น “ว่าที่นายกฯคนที่ 30 ” ทำไปทำมาเส้นทางสู่ทำเนียบรัฐบาลในการเป็นนายกฯในการบริหารประเทศไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิดที่หวังไว้เสียแล้ว แม้จะได้คะแนนสนับสนุนจากชาวบ้านมา 14.2 ล้านคะแนน แม้จะกวาดส.ส.มา 151 คน แม้จะมีการแถลงจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค 312 คน แม้จะมีการประกาศ MOU เซ็นลงนามข้อตกลง 23 ข้อ และแนวทางปฏิบัติ 5 เรื่องไปแล้ว แต่นับจากวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 จนถึงวันนี้ ผ่านไปแล้ว 12 วัน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลผสมจากแกนนำของก้าวไกลจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เพราะระหว่างทางขึ้นสู่อำนาจพิธากับก้าวไกลยังมีเรื่องที่ต้องลุ้นต้องกังวลอีกมาก การเมืองไทยไม่ใช่ 1+1 การเมืองไทยมีสิ่งแวดล้อมมีรายละเอียด มีองค์ประกอบรายล้อมอีกมาก อย่าคิดว่าชนะเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับ 1 แล้วพิธาจะเป็นนายกฯได้ง่ายๆ ก้าวไกลจะเป็นรัฐบาลได้สบาย เอาแค่ตัวพิธาตอนนี้ยังมีเรื่องการถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกลูกผีลูกคน ถ้าโดนตัดสินว่าถือครองสื่อว่าผิดพิธาก็อาจล่องจุ๊น ตกสวรรค์ชั้น 7 ไปยาวๆ เพราะหนทางจะก้าวขึ้นเป็นนายกฯอยู่แค่เอื้อมแท้ๆ และถึงต่อให้หลุดคดีหุ้นไอทีวีไปได้ พิธาก็ยังต้องลุ้นโหวตนายกฯอีกเป็นด่านที่สองว่าจะได้เสียงโหวตส.ส.กับส.ว.มากกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภาคือมากกว่า 376 จาก 750 คนหรือไม่ ตอนนี้มีแค่ 312 เสียงต้องหาอีก 64 คนถึงจะได้เป็นนายกฯ ซึ่งไม่ง่ายเพราะส.ว.คงไม่ยอมให้พิธาก้าวไกลผ่านไปรื้อรัฐธรรมนูญเปิดประตูล้มล้างสถาบันได้ง่ายๆ แค่นี้ก็มีด่านหินสองด่านรอพิธากับก้าวไกลอยู่เต็มๆแล้ว
ก้าวไกลกับเพื่อไทยยังมาเปิดศึกช่วงชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกันอีก ความจริงเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหากันได้ถ้าพรรคที่ 1 กับ พรรคที่2 ชนะกันขาดห่างกันเกิน แต่กรรมของก้าวไกลแท้ๆ ชนะเลือกตั้งมาเป็นที่ 1 ก็จริงแต่ก็ต้องเจอกับอุปสรรคทุกอย่าง ด้วยเหตุที่ชนะไม่ขาดเข้าที่ 1 แบบถูกเพื่อไทยหายใจรดต้นคอ ก้าวไกล 151 เพื่อไทย 141 ห่างกัน 10 คน ปัญหาจึงเกิดเพราะเสียงสองพรรคดันใกล้เคียงกัน ฝ่ายก้าวไกลพอได้นายกฯที่เป็นประมุขฝ่ายบริหารไปแล้ว ฝั่งเพื่อไทยก็อยากได้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไปบ้าง เพราะเปรียบไปทั้งสองพรรคก็เหมือน “เจ้าบ่าว-เจ้าสาว” สินสมรสก็ต้องแบ่งเท่าๆกัน ก้าวไกลจองเก้าอี้สร.1ไปแล้ว เพื่อไทยก็อยากได้ประธานสภาไม่ต่างกัน ต่างฝ่ายต่างเขี้ยวต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน อย่างที่รู้ระหว่างสองพรรคก็มีปมขบเหลี่ยมกันอยู่แล้ว เพื่อไทยมองว่าก้าวไกลไม่ให้เกียรติไม่เห็นหัว ก้าวไกลก็มองว่าเพื่อไทยไม่จริงใจตอแหลตลบตะแลงหวังจังหวะสอง 2 พรรคเหลี่ยมคูพอกัน “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”
ฝ่ายส้มล้มเจ้ายืนกรานพรรคอันดับหนึ่งต้องได้นายกฯพ่วงประธานสภา เพราะได้รับเสียงฉันทามติส่วนใหญ่จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แถมก้าวไกลยังต้องเดินหน้าเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อม.112 เดินหน้าผลักดัน 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1. กฎหมายก้าวหน้า ผลักดันกฎหมาย 45 ฉบับ 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไข ม.112 3. รัฐสภาดปร่งใส่ ตรวจสอบได้ ในทางยุทธศาสตร์ยังไงก็ต้องเอาเก้าอี้ประธานสภาไว้ให้ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมายแต่รวมถึงเรื่องของการชิงไหวชิงพริบในการเสนอชื่อนายกฯด้วย อย่าลืมว่าพิธายังต้องลุ้นเรื่องโหวตนายกฯ ยังไม่รู้ต้องโหวตกี่ครั้งโหวตกี่วัน ถ้าไม่มีประธานสภาฝ่ายตัวเองมาคุมเกมส์มีหวังเสร็จเพื่อไทยแน่ๆ แถมตัวเองยังมีแคนดิเดตนายกฯแค่คนเดียว อนาคตต่อให้เป็นนายกฯเป็นรัฐบาลก็ยังต้องคุมเกมส์ในสภา เดินหน้าเรื่องแก้กฎหมายหลายฉบับ ถ้าไม่มีประธานสภาเป็นกุญแจดอกแรกเหมือนที่เตี้ยหลังม็อบระบุ สุดท้ายก็จะถูกดึงกฎหมายสำคัญๆออกไปหมด โดยเฉพาะประเด็นธงที่ก้าวไกลจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงรื้อ ม.112 ถ้าไม่มีประธานสภาของตัวเองมาคุมเชิง มีหวังก้าวไกลเจ๊งบ๊งตั้งแต่ในมุ้ง ไม่มีทางเดินหน้าเป้าหมายตัวเองได้เลย เพราะฉะนั้นยังไงก็ต้องเอาประธานสภามาให้ได้
ข้างฝ่ายเพื่อไทยต้องหวานอมขมกลืนตั้งแต่ผลการเลือกตั้งออก ไม่แลนด์สไลด์ เสียที่มั่นไปหลายจังหวัด ได้ส.ส.คราวนี้มาแค่ 141 จากเป้าหมาย 310 ก่อนหน้านี้ ต้องรับบทเป็น “พระรอง” ถูกก้าวไกลโขกสับ มารอบนี้ได้โอกาสเอาคืนในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ถองกลับก้าวไกลเรื่องพรรคอันดับ 1 ต้องได้ทั้งสร.1 และ ประธานสภา แกนนำออกมาชักแถวฟาดกลับแบบไม่ยั้ง ทั้งชลน่าน อดิศร สมคิด ฯลฯ ยกแม่น้ำทั้ง 5 มาหมด ต้องชนะเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ ต้องได้มากกว่า 250 คน เหมือนตอนไทยรักไทยสมัยแรก 248 คน ไทยรักไทยสมัยสอง 377 คน หรือเพื่อไทยสมัยเจ๊ปูว์ 265 คน อันนั้นต่างหากถึงจะเป็นพรรคอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้งอย่างแท้ทรู แต่ชนะเลือกตั้งจุ๋มจิ๋มแบบส้มล้มเจ้าแค่ 151 คน ถ้วยรางวัลมันต้องเอามาแบ่งกันเชยชม ก้าวไกลได้นายกฯเพื่อไทยได้ประธานสภาก็เหมาะสมดี คิดจะแต่งงานร่วมหอลงโรงกันเจ้าสาวจะเอาฝ่ายเดียว ปล่อยเจ้าบ่าวได้แต่ของเหลือ ได้แต่หางกะทิ ใครจะไปยอม เพื่อไทยออกตัวแรงเรื่องนี้กับก้าวไกล เพราะบวกลบคูณหารดีดลูกคิดรางแก้ว ชัดเจนแล้วว่าก้าวไกลต้องยืมจมูก “พวกกูหายใจ” พวกกูไม่มีมึงไม่เป็นไร แต่พวกมึงไม่มีกู ตายห่าลงเหวกันพอดี เพื่อไทยพลิกขั้วได้เพราะมีพลังประชารัฐกับภูมิใจไทยอ้าแขนเปิดห้องรอไว้แล้ว แต่ก้าวไกลก็เปลี่ยนขั้วไม่ได้เพราะขึ้นเมรุไปป่าช้าทันที สมการ 2 พรรคต่างกันแบบนี้ เพื่อไทยเลยถือแต้มต่อก้าวไกลหนึ่งก้าว เดินเกมเรื่องประธานสภารอบนี้ เพื่อไทยมั่นใจต้องได้เก้าอี้แน่นอนไม่อย่างนั้นมีเรื่อง
ดูสัญญาณก็ชัดทักษิณออกมารีทวีตดวงฤทธิ์เรื่องถูกเพื่อนเหยียบหัว เศรษฐาออกมาเห็นด้วยเรื่องบางทีคบหมาดีกว่าคน เพื่อไทยเดินเต็มสูบเรื่องนี้ จู่ๆอุ๊งอิ๊งเกิดขึ้นถึงโทนี่ขึ้นมาเฉยๆ ถึงขนาดยอมทิ้งลูกไว้กับยายพจมานแล้วไปหาตาแม้ว แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ถ้าไม่ไปรับบรีฟก็ต้องไปปรับแผนพลิกยุทธ์ศาตร์สู้กับส้มต่อ เพราะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ชิงเหลี่ยมชิงจังหวะกันพอดี การเมืองเหมือนหมูสามชั้นไม่มีเรื่องใดคิดแบบชั้นเดียว ดูทรงประธานสภารอบนี้เพื่อไทยใช้ความเก๋าเกมเอาไปกินแน่นอน ปลายทางของเรื่องนี้น่าจะเป็น หนึ่งก้าวไกลถอยรัฐบาล 8 พรรคได้ไปต่อรักษาภาพรัฐบาลไว้ เจ็บแต่จบ หรือ สองฟรีโหวตกันในสภายังไงเพื่อไทยพวกมากกว่าพรรคเทวดาหมาหัวเน่าก็ต้องชนะก้าวไกลอยู่ดี ฟันธงประธานสภาแดงโกงชาติจะเอาไปแดก ส่วนฝ่ายส้มเอาแห้วไปกิน ขั้วแม้วใสๆ “ชลน่าน-สุชาติ-ชูศักดิ์-สุทิน” ชิงดำประธานสภา รอบนี้ก้าวไกลต้องยอมเจ็บต้องยอมกลืนเลือดไม่งั้นเพื่อไทยโทนี่ไม่ยอมแน่ พร้อมแตกหักพร้อมสลับเลนไปเป็นฝ่ายค้าน เห็นทรงการเมืองบรรยากาศแบบนี้คงไม่แคล้วเป็นเหมือนที่อานนท์ นำภา ออกมาดักคอ “กลิ่นความฉิบหายกำลังจะมา” สองพรรคหลักกัดกันยังกะหมา ทะเลาะกันตั้งแต่เริ่มต้น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอกัน จบเห่ลงไม่สวยแน่นอนแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ส้มแดงเหมือนน้ำกับน้ำมันไม่มีวันบรรจบ ส้มล้มเจ้าแรงขึ้นมาขนาดนี้ถ้าเพื่อไทยยังคิดบวกว่าเป็นเพื่อนทางการเมืองมหามิตรประชาธิปไตยก็โง่เป็นควายแล้ว อนาคตมันคือศัตรูดีๆกันนี้เอง หอกข้างแคร่แท้ๆ ไม่เชื่อก็คอยดู
/////////////////////