แม้จะประกาศตัวว่าเป็นว่าที่นายกฯคนที่ 30 ตั้งแต่ไก่โห่ ตั้งแต่วันประกาศแถลงจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค 312 คน ไปแล้ว รวมถึงเซ็น MOU แนวทางการทำงานของรัฐบาล และกำลังเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎรกับการแบ่งเค้กครม.แห่งอนาคต สำหรับ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯของพรรคส้มล้มเจ้า แต่ทั้งหลายทั้งมวลของการเดินหน้าทั้งหมดของพิธาอาจไม่มีค่าไม่มีความหมาย หากเจ้าตัวเองถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติการเป็นส.ส. มีลักษณะต้องห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญกรณีที่ถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ตั้งแต่ปี 2551 ที่ตอนนี้มีการไปร้องให้กกต.ดำเนินการเอาผิดพร้อมส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หยิบเรื่องนี้มาไม่ใช่ต้องการหักหาญน้ำใจ “ด้อมส้ม” ที่มีทั้งเด็ก วัยรุ่น นร. นิสิต นักศึกษา แม้แต่คนแก่ หลายคนชอบพิธา หลายคนชอบแกนนำพรรค หลายคนชอบนโยบาย แต่บอเลยรอบนี้ต้องเผื่อใจไว้มากๆ เพราะโอกาสที่พิธาแม้ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 จาก 14.2 ล้านเสียงกวาดส.ส.มา 151 คน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพิธาจะได้เป็นนายกฯ จะได้เป็นสร.1 ง่าย ๆ เพราะมันมีปัจจัย มีองค์ประกอบ มีด่านอรหันต์อีกหลายด่านให้พิธาฝ่าไป เรื่องแรกหากจะเป็นนายกฯต้องให้กกต.รับรองสถานะส.ส.ก่อน จากนั้นก็ต้องไปลุ้นโหวตเลือกนายกฯ ที่ต้องหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของ 2 สภา คือ 376 จาก 750 คน จากนั้นก็ค่อยไปลุ้นคดีความของตัวเองที่ตอนนี้มีแน่ๆแล้วหนึ่งคดีคือการถือหุ้นไอทีวีซึ่งคาอยู่ที่กกต. ถ้ารอดสันดอนก็ได้ไปต่อเป็นนายกฯคนที่ 30 แบบที่ประกาศไว้ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าพิธาขาดคุณสมบัติ บอกเลยว่า “งานเข้า” ทั้งพิธาและก้าวไกลจะฉิบหายแน่นอน
พูดแบบนี้ไม่ได้แช่งพิธา ไม่ได้อาฆาตก้าวไกล ไม่ได้ตั้งใจทำให้ด้อมส้มดินตายกลางถนน แต่เอาความจริงเอาความเป็นไปได้เอาโอกาสของพิธามากางให้เอฟซีดู เผื่อใจไว้บ้างทำใจไว้หน่อย เพราะ “ความจริง” กับ “ความรัก” แลพ “กระแส” บ่อยครั้งมันไม่ไปทางเดียวกัน กรณีพิธาก็กำลังจะเป็นแบบนั้น ชนะการเลือกตั้งแบบมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่อาจไม่ได้เป็นนายกฯอาจไม่มีโอกาสบริหารประเทศ กรณีการถือหุ้นไอทีวีตั้งแต่ปี 2551 จำนวน 42,000 ก็ชัดเจนว่าเข้าข่ายขากคุณสมบัติการเป็นส.ส.ตาม ม.98 (3) ที่รัฐธรรมนูญเขียนกำกับไว้ชัดเจน ” บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ ” ตรงนี้กฎหมายสูงสุดเขียนห้ามไว้เพราะไม่อยากให้คนที่จะมาเป็นผู้แทนคนที่จะมาเป็นส.ส.มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับสื่อ เพราะมันจะมีส่วนได้ส่วนเสียในการทำหน้าที่ ประเด็นนี้ทุกคนที่จะเข้ามาเป็นส.ส.รู้ดี ก้าวไกลก็เคยโดนกรณีแบบนี้กับธนาธร แต่ไฉนพิธาถึงไม่นำพาคิดได้เป็น 2 แง่ หนึ่งถ้าไม่ประมาทเลินเล่อสุดๆ สองก็คงมั่นใจทีมกฎหมายการชี้แจงของตัวเองมาก หรือ สามเจตนาให้งับเหยื่อหวังจุดประเด็นขัดแย้งในสังคมว่าถูกกลั่นแกล้งถูกอำนาจมืดรังแกทั้งๆที่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1
ไม่ว่าพิธา แกนนำส้มล้มเจ้า ทั้งธนาทอนกับปิยะบูดจะคิดวางแผนกับเรื่องนี้อย่างไร แต่กฎหมายและรัฐธรรมนูญเท่าเทียมกับทุกคนเสมอ และเที่ยวนี้พิธาก็มีโอกาสสูงลิ่วที่จะ “ตกม้ายตาย” ก่อนกำหนด “ตกสวรรค์” ก่อนเวลาอันควร ทั้งๆที่จ่อเป็นนายกฯคนต่อไปแบบนอนมา แต่เพราะไปมีชื่อถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 หุ้น แถมฝ่ายผู้ร้องยังพิสูจน์ยังมีหลักฐานยืนยันว่า ไอทีวีปัจจุบันยังทำธุรกิจ “สื่อ” แถมยังมี “รายรับ-รายจ่าย” การดำเนินงานตามปกติ ไม่ได้เจ๊งไม่ได้ยุบกิจการไปตามที่หลายคนเข้าใจ ตรงนี้แหละที่จะกลายเป็น “จุดตาย จุดสลบ” ให้พิธาดิ้นไม่หลุด ไปต่อไม่ได้เพราะมีหลักฐานได้ว่าไอทีวี ณ ปัจจุบัน ยังเป็น 1. บริษัทประกอบการด้านสื่อ 2. มีธุรกรรมมีการดำเนินการมีกำไรขาดทุนจากการเปิดบริษัทจริงๆ หนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็มีคดีตัวอย่างคดีที่อัยการจังหวัดกาญจนบุรีสั่งฟ้อง สุรโชค ทิวากร อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี เขต 2 พรรคไทยภักดี ต่อศาลกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ในฐานความผิดลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ,แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งให้พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ และขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลา 20 ปี จากการที่สุรโชค ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาล ( ส.ท.) ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เดือนก.พ.ปี 2564 ทั้งที่ตัวเองมีลักษณะต้องห้าม เนื่องจากถือหุ้นใน บ. อสมท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 หุ้น มูลค่า 5 บาท โดย อสมท. เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ทำให้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามพ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ท. พ.ศ.2562 ม. 50 ( 3 ) ที่บัญญัติห้าม “เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ ” ที่กฎหมายนี้ก็ล้อตามรัฐธรรมนูญ ม.98 (3) นั้นแหละ สุดท้ายศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกสุรโชค 1 ปี 9 เดือน แต่จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือครึ่งหนึ่ง และให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท พร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี อันนี้แค่ตัวอย่างแค่น้ำจิ้มคำตัดสินของศาล
ที่วานนี้วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายปัจจุบันก็ออกมาชี้ช่องส่งสัญญาณแล้วว่าพิธาต้องผ่าน 2 ด่านอรหันต์ให้ได้ก่อนหากอยากจะเป็นนายกฯ 1.กกต. 2.ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่อย่างนั้นก็จบเห่เพราะไปไม่ถึงดวงดาวแน่นอน หลังจากนี้ประเด็นที่ต้องตามต่อคือกกต.จะรับรองส.ส. 95 % หรือ 475 คน จาก 500 คนได้เมื่อไหร่ แต่ทั้งหมดต้องก่อน 13 ก.ค.2566 ก่อน 60 วันหลังเลือกตั้งตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็ต้องดูวันเปิดสภา ไปลุ้นกันว่าใครจะได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย ถัดจากนั้นก็ต้องไปดูว่าประธานสภาจะนัดวันโหวตนายกฯเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นก็ต้องไปลุ้นว่าพิธาจะฝ่าผนังทองแดงกำแพงเหล็ก หาแนวร่วม 376 คน เพื่อขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 30 ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ไปต่อ ถ้าไม่ได้ก็ไปเข้าทางเพื่อไทยที่ “อุ๊งอิ๊งค์-เศรษฐา” รอเสียบอยู่แล้ว สมมุติว่าพิธาได้รับโหวตเป็น “ว่าที่นายกฯ” จริง ก็ต้องลุ้นกันอีกว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรในตอนนั้น ที่ยังไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า ไม่รู้เป็นคนของก้าวไกลหรือเพื่อไทย แล้วถึงตอนนั้นประธานสภาจะเกล้าทูลเกล้าชื่อพิธาไหม เพราะพิธายังมีคดีคาอยู่ในศาลนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ชวนปวดหัว ในระหว่างนั้นก็ต้องไปลุ้นคดีว่าจะเป็นยังไง ที่ล่าสุดสนธิญา สวัสดี หนึ่งในผู้ร้องเรื่องนี้ก็ออกมาเปิดเผยว่ากกต.จะพิจารณาคดีนี้หลังรับรองส.ส. ว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าส่งก็ต้องไปลุ้นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับ ถ้ารับแล้วจะให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้าพิธาหยุดแล้วจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นลองคิดไปไกลๆ ถ้าพิธาถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าไม่มีความผิดไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ อันนี้ก็จบทางนี้ก็ง่ายแยกย้ายกันทำงาน แต่ถ้าศาลเห็นตรงข้ามเห็นตรงกันกับผู้ร้อง พิธาผิดมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แล้วบรรดาว่าที่ผู้สมัครของพรรคที่พิธาในฐานะหัวหน้าพรรคไปรองรับ พวกที่แพ้ไม่เป็นไรแต่พวกที่ชนะได้เป็นส.ส.เขต 112 คน บัญชีรายชื่ออีก 39 คน จะทำกันยังไง 112 คน จาก 112 เขตจะมีการเลือกตั้งใหม่ไหม ใครจะเป็นคนจ่ายตังค์ถ้าต้องเลือกใหม่ คิดแค่นี้ก็ปวดกบาล ยุ่งตายห่า ชนะเลือกตั้งมากับกระแสอาจทำให้พิธาฮึกเหิมก้าวไกลลำพอง แต่นั้นแค่ความสุขประเดี๋ยวประด่าว เป็นแค่ความสุขชั่วคราวความสุขข้ามคืน ของจริงมันโหดมันร้ายมันเขี้ยวกว่านั้นมาก พิธาเหนื่อย ก้าวไกลหนาว ด้อมส้มต้องทรมานอีกหลายยก แนะนำให้อ่านหนังสือธรรมมะ ทำใจร่มๆ เข้าวัดทำบุญ เพราะความจริงกับความหวังบ่อยครั้งมันเดินคู่ขนาน เพราะเส้นทางสู่เก้าอี้สร.1 ของพิธา เส้นทางสู่อำนาจของก้าวไกลในตึกไทยคู่ฟ้า คงไม่ได้มาอย่างง่ายๆแน่นอน
///////////////////