เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 66 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. และในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก “สมชาย แสวงการ” โดยระบุข้อความว่า #ปริศนาธรรมการเมืองเรื่องหุ้นitv ข้อที่3 #คำวิฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร VS #คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ
การถือหุ้นสื่อitv 42,000หุ้น ของนายพิธา แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จะทำให้ขาดคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.จริงๆหรือ? เป็นเรื่องที่มีประเด็นถกเถียงและมุมมองทางกฎหมายแตกต่างกันมาก จึงยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ2คดีเกี่ยวกับการถือครองหุ้นสื่อที่ เหมือนกันของนายธนาธรและนายธัญญ์วาริน อดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่ มาเปรียบเทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่แตกต่างกัน 2 คดี คือคดีของนายชาญชัย ผู้สมัครส.ส.ปชป.ที่ศาลฎีกาเห็นชอบคืนสิทธิสมัครเลือกตั้งให้ผู้ร้อง และคดีนายรวิพล ผู้สมัครส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไทย ศาลฎีกาเห็นชอบให้ตัดสิทธิลงสมัครส.ส. ตามที่กกต.ตัดสิทธิไว้ หากพิจารณารายละเอียดของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเข้าใจแล้ว จะเห็นแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีทั้งเหมือนหรือแตกต่างกับคำพิพากษาศาลฎีกาในบางประเด็นครับ
ส่วนตัวยังยืนยันและเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) มีหน้าที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุด ด้วยเหตุว่า คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภาคณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ
ส่วน “คำพิพากษาของศาลฎีกานั้นมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก “
จึงมีความจำเป็นต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นที่สุดครับ เชื่อมั่นและเคารพในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นที่สุด และน้อมรับคำวินิจฉัยที่มีผลผูกพันทุกองค์กรครับ