แม้กระบวนการในการเดินหน้าตั้งรัฐบาลจะมีความคืบหน้าไปมาก ทั้งการจับมือตั้งรัฐบาล ทั้งการลงนามเอ็มโอยูในการทำงาน การตั้งคณะกรรมการดูแลการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล รวมถึงตัว “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็เดินสายพูดคุยกับหลายหน่วยงาน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ฯลฯ ขณะที่สัปดาห์หน้ามีนัดจะคุยกับ ผู้ว่าฯ 2 ช. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นัยยะว่าเตรียมตัวเป็นนายกฯประเทศไทยในอนาคต ตามประกาศที่แนะนำตัวว่าเป็น “ว่าที่นายกฯคนที่30” ที่เจ้าตัวพูดอย่างมั่นใจตั้งแต่ฟอร์มรัฐบาล 8 พรรค 312 เสียงช่วงแรก แต่โลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความหวัง บ่อยครั้งมันสวนทางกันเหลือเกิน พิธาอาจเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลอาจเป็นแคนดิเดตนายกฯของก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งแบบท้วมท้นเมื่อ 14 พ.ค.2566 ด้วยคะแนน 14.2 ล้านเสียง กวาดส.ส.ไปได้ 151 คน รวมถึงสามารถรวมเสียง 8 พรรค 312 คน ประกาศจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในอนาคต
ความจริงการรวมเสียงได้มากขนาดนี้ ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญปกติหรือเป็นรัฐธรรมนูญหลายฉบับก่อนหน้านี้ พิธาคงได้เป็นนายกฯไปแล้ว เพราะใช่เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรคือรวมเสียงเกินหึ่งหนึ่งคือ 251 จาก 500 เสียงก็ได้เป็นนายกฯแล้ว แต่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มันพิเศษมันมีข้อกำหนดมากกว่าฉบับอื่น การจะเป็นนายกฯได้ต้องมีเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภา คือต้องมีเสียงสนับสนุนจากส.ส.หรือส.ว. มากกว่า 376 จาก 750 ด้วยเหตุนี้เองพิธาจึงไปไม่ได้เดินไม่ถึงเสียที เพราะขาดเสียงสนับสนุนอยู่อีก 64 เสียงถึงจะได้รับโหวตเป็นนายกฯ จะหาจากสภาล่างก็ลำบาก เพราะประกาศนโยบาย “มีเรา ไม่มีลุง” ตีลังกายันกับมวลชนไม่เอาพรรค “ลุงป้อม-ลุงตู่” มาร่วมรัฐบาล แถมต่อมาก็ประกาศไม่เอาพรรคเสี่ยหนูพรรคใบเขียวของลุงเนย์อีก ด้วยเหตุนี้ในฝั่งส.ส.เองเลยไม่มีพวกที่จะมายกมือให้ ขณะที่หากจะพึ่งส.ว.อ้อนขอมือจากสภาสูงก็ยากอีก เพราะอดีตก็เล่นด่าเขามาจนเสียหมาไม่ให้ค่าเขาตั้งแต่เริ่มเดิน มาตอนนี้จะมากราบกรานขอเสียงให้ที่ไหนจะไปยกมือให้ แถมก๊วนส้มล้มเจ้าสันดานเดิมทุกคนก็รู้อยู่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองต้องการล้มสถาบันเดินตามก้นไอ้กันชาติตะวันตก มีหรือที่ส.ว.ที่แก่พรรษามากประสบการณ์จะยอมให้ตัวเองเป็นสะพานขายชาติให้กับก้าวไกล มองยังไงพิธาก็ไปต่อยากก้าวไกลเป็นรัฐบาลลำบาก เพราะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรส.ว.ก็ไม่มีทางยกมือให้พิธาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นตัวพิธาเองก็ยังมีคดีติดตัวมีบ่วงมัดกายอยู่ กรณีถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ที่ล่าสุดมีความเห็นหลากหลายออกมาจากหลายฝ่าย แต่ตัวพิธากับก้าวไกลเองดูเหมือนจะอุบไต๋มั่นใจว่าจะชี้แจงกกต.และศาลรัฐธรรมนูญได้แน่ๆ อย่างไรก็ตามฝ่ายที่คิดว่าพิธาน่าจะเสร็จ แคนดิเดตนายกฯฝ่ายส้มน่าจะไปไม่รอดกับเรื่องนี้ก็มีมากมาย เพราะก่อนหน้านี้ก็มีแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแนวทางปฏิบัติเทียบเคียงไว้มากแล้ว ล่าสุดสมชาย แสวงการ ส.ว.คนดังสภาสูงออกมาเขียน FB เรื่อง “ปริศนาธรรมการเมืองเรื่องหุ้น itv ” ตอกย้ำคำวิฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร พร้อมหยิบยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 2 คดี ที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นสื่อ คือของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับคดีของ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่มาเปรียบเทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่แตกต่างกัน 2 คดี
พร้อมยกตัวอย่างคำวินิจฉัยคดีถือหุ้นสื่อแต่ละคนมาชี้ให้เห็น 1. คำวินิจฉัยธนาธร ผู้ถือหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดีย ที่เป็นธุรกิจสื่อมวลชนแม้ไม่ได้ประกอบกิจการอยู่ แต่ยังมิได้จดทะเบียนเลิกกิจการย่อมพร้อมที่จะประกอบกิจการได้ตลอดเวลา จึงเป็นการถือหุ้นสื่อมวลชนอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ผู้สมัครสสถือหุ้นสื่อมวลชน และวินิจฉัยให้สมาชิกภาพส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ ม.101(6) ประกอบม. 98 (3) 2. คำวินิจฉัยธัญญ์วาริน ผู้ถือหุ้นบริษัทเฮดอัพ โปรดักชั่นและบริษัทแอมฟายน์โปรดักชั่น เป็นธุรกิจสื่อมวลชนอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ผู้สมัครสส ถือหุ้นสื่ิอมวลชน และวินิจฉัยให้สมาชิกภาพส.ส.ของธัญญ์วารินสิ้นสุดลง 3. คำพิพากษาศาลฎีกา ถือหุ้น AIS ของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จำนวน 200 หุ้น ถือว่าเป็นจำนวนน้อยมากไม่อาจครอบงำสื่อมวลชนได้ จึงมีคำพิพากษาให้กกตประกาศเพิ่มรายชื่อ นายชาญชัยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสส จังหวัดนครนายก 4. คำพิพากษาศาลฎีกาของ รวิพล หินผาย ถือหุ้น หจก.รวิพลเรดิโอ ประกอบกิจการสถานีวิทยุชุมชน ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ตาม เมื่อยังไม่จดทะเบียนเลิกกิจการ ย่อมเป็นผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่ จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามม.98(3) ติ่งพิธาด้อมส้มได้ยินแบบนี้คงหนาว ไอทีวีทำธุรกิจสื่อ พิธามี 42,000 หุ้น บริษัทยังประกอบการมีรายรับรายจ่ายกำไรขาดทุน ยังมิได้จดทะเบียนยกเลิกกิจการกับกรมธุรกิจการค้า
เห็นคำวินิจฉัยของ 2 ศาลแบบนี้ ก็หวั่นใจแทนพิธาจะรอดสันดอนรอบนี้ไหม หนักหนาสาหัสจริงๆ หรือจะเดินตามรอยสุภาษิตไทย “บุญมีแต่กรรมบัง” ชนะเลือกตั้งมาที่ 1 แต่ดันไม่ได้เป็นนายกฯเพราะมีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ หนำซ้ำล่าสุดกูรูกฎหมายสายรถถังอย่างวิษณุ เครืองาม ยังออกมาให้สัมภาษณ์ขย่มทำให้ด้อมส้มอกแตกตายอีก เพราะชี้ช่องว่าพิธามีโอกาสสูงเช่นกันที่จะตกสวรรค์จากเรื่องนี้ ซึ่งต้องไปดูคำร้องว่าผู้ร้อง ร้องไปแบบไหนให้ตรวจสอบเรื่องใด คุณสมบัติส.ส.หรือคุณสมบัตินายกฯหรือการรับรองสมาชิกพรรรคที่เป็นส.ส. ” ถ้าคนร้อง ร้องทั้ง 2 เรื่อง ศาลก็จะวินิจฉัยทั้ง 2 เรื่อง หรือ อาจจะกระทบไปอีกประเด็น คือการรับรองสมาชิกพรรค ฉะนั้นอยู่ที่คำร้องว่าจะร้องอย่างไร จะร้องทั้ง 3 ประเด็นเลยหรือไม่ แต่อย่าพึ่งคิดไปไกลขนาดนั้น เอาทีละประเด็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้ทําอะไรเลย อย่าพึ่งคิดแง่ร้ายไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม การที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่มาแนะนำว่าจะต้องร้องอย่างไร อยู่ที่ผู้ร้อง ร้องประเด็นไหนศาลก็วินิจฉัยประเด็นนั้น ถ้าร้อง 3 ประเด็นศาลก็วินิจฉัยทั้ง 3 ประเด็น” วิษณุแจง แถมยกกรณีที่เกิดขึ้นในอดีตว่ามีกรณีทำผิดแล้วเป็นเหตุให้ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ” ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเลือกตั้งซ่อมใหม่ทั้งหมด อย่างในอดีตที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของนายทักษิณ ชินวัตร ไปกาลงคะแนน และมีคนไปถ่ายไว้ ซึ่งเกิดเหตุเพียงคูหาเดียว แต่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นโมฆะทั้งประเทศ ฉะนั้น กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน หากมีการเลือกตั้งซ่อมต้องเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ” วิษณุตะแคงยัน
พร้อมยกตัวอย่างการเลือกตั้งสุดอุบาทว์ในวันที่ 2 เม.ย. 2549 ที่พรรคไทยรักไทยผลักดันให้มีการเลือกตั้งแบบบอุปโลก ทั้งๆที่พรรคฝ่ายค้าน 3 พรรคใหญ่คือ ประชาธิปัตย์ ชาติไทย มหาชน เสนอให้มีการลงนามสัตยาบันว่าหลังเลือกตั้งจะมีการตั้งกรรมการกลางขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ฝ่ายไทยรักไทยไม่สนเดินหน้าเลือกตั้งแบบลวงโลกอยู่พรรคเดียว หลายเขตคนโหวตโนมากกว่าผู้ได้คะแนนสูงสุดจนต้องมีการเลือกตั้งใหม่ หลายเขตปากกาไม่พอ หลายเขตมีบัตรเสียผิดปกติ หลายเขตตั้งคูหาหันหลังออก ฯลฯ ถาวร เสนเนียม รองเลขาฯปชป. ฟ้องกกต.ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ศาลมีคำสั่งให้กกต. 3 คน คือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ, ปริญญา นาคฉัตรีย์, วีระชัย แนวบุญเนียร ติดคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ลาออกก่อนจึงรอดหวุดหวิด กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ 15 ต.ค.2549 แต่สุดท้ายก็ถูกบิ๊กบังปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ก่อน เล่าเรื่องมาทั้งหมดเพื่อที่จะทวนความจำให้ ไม่แน่ปมพิธาถือหุ้นอาจทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่ก็เป็นได้ การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ เลือกตั้งใหม่หรือปล่าวยังไม่รู้ แต่ดูทรงตามนี้แล้วพิธารอดยาก จะโดนเดี่ยวหรือสอยยกพวงต้องเลือกตั้งหันใหม่ก็เท่านั้นเอง
//////////////////