ไม่รู้บุญมีแต่กรรมบัง ฟ้าลงทัณฑ์หรือสวรรค์กลั่นแกล้ง แม้ชนะการเลือกตั้ง 14 ล้านเสียงจากการลงคะแนน 14 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้โอกาสในการเป็นนายกฯของ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในการนั่งเป็นนายกฯขึ้นแท่นเป็นสร.1 คนที่ 30 รวมถึงความเป็นไปได้ที่ก้าวไกลจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จนถึงตอนนี้ต้องบอกว่ายังลูกผีลูกคน แม้จะมีการแถลงจัดตั้งรัฐบาลไปแล้ว แม้จะมีการจับมือลงนาม MOU 8 พรรค 312 เสียง เดินสายหาแนวร่วมพบเอกชน คุยผู้ประกอบการ หารือกับหน่วยราชการไปบ้างแล้ว แต่ในแวดวงการเมืองในสนามข่าว หลายคนก็ยังไม่มั่นใจว่าพิธากับก้าวไกลจะไปถึงฝั่งฝันเป็นรัฐบาลบริหารประเทศได้
ด้วยเหตุที่ยังมีอุปสรรคขวางหนามฝ่ายส้มล้มเจ้าอีกมาก เพราะยังมีหลายเรื่องที่พิธากับก้าวไกลต้องผ่านไปให้ได้ ลำพังแค่ตัวพิธาเองก็มีคดีมีเรื่องที่ต้องเคลียร์บานเบอะ กรณีแรกคือเรื่องการถือครองหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ที่เป็นมรดกหลังบิดา คือ พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษารมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสียชีวิตลง ก่อนที่พิธาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นทายาทผู้จัดการมรดกเมื่อ 16 มี.ค.2550 ประเด็นนี้เจ้าตัวยืนกรานว่ามีเจตนาบริสุทธิ์ที่ไม่ชี้แจงเรื่องหุ้นไอทีวีก็เพราะเห็นว่าไอทีวีเลิกกิจการไปแล้วตั้งแต่ถูกยกเลิกสัญญาเข้าร่วมทำทีวี ระบบ UHF ตั้งแต่ 7 มี.ค.2550 ก่อนที่ปี 2557 ตัวหุ้นไอทีวีจะถูกถอดออกจากซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยมูลค่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินและกำลังมีคดีความฟ้องร้องอยู่ในศาล พิธามั่นใจว่าไอทีวีไม่ได้ประกอบการแล้วจึงไม่มีสภาพเป็นธุรกิจสื่อที่เป็นเรื่องต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีการดำเนินการโอนหุ้นตัวนี้แต่อย่างใดและยังถือครองมาจนถึงการสมัครรับเลือกตั้งในปีนี้ เมื่อ 3-7 เม.ย.2566 ที่เจ้าตัวก็ยังไปรับสมัครผู้สมัครส.ส.เขตของก้าวไกล ขณะที่ 4 เม.ย.2566 ก็ยังไปสมัครเป็นปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ของพรรค พร้อมถูกเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกฯเพียงคนเดียวของก้าวไกล ทั้งหมดคือสิ่งที่พิธามั่นใจว่าไม่ผิด
แต่ประเด็นนี้ก็กลายเป็นเรื่องร้อนที่ทำให้เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไปร้องกกต.ว่าพิธาทำผิดรัฐธรรมนูญ มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายสูงสุดบัญญัติไว้ ทั้ง ม.98 (3) ม.160 (6) พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ม.151 แม้กระทั่งข้อบังคับพรรค โดยเฉพาะในประเด็น ม.98 ที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ ฝ่ายเห็นว่าพิธาผิดมั่นใจนายกฯฝ่ายส้มหยุดเส้นทางการเมืองแน่ๆ เพราะมั่นใจไอทีวีเป็นสื่อ ไอทีวียังประกอบธุรกิจอยู่ ไอทีวียังมีผลกำไรขาดทุน ไอทีวียังไม่ยกเลิกการประกอบธุรกิจ ถือหุ้นแบบนี้ยังไงก็โดนเต็มๆ แนวคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็มีมามากแล้ว ถือหุ้นสื่อแม้เพียงหุ้นเดียวแค่ 5 บาทก็ยังผิด ก็เป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญมากน้อยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ใช่แค่เรื่องหุ้นไอทีวีเท่านั้น พิธายังถูกสื่อเปิดโปงเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการบริหารบริษัทที่เป็นกงสีของครอบครัวตัวเอง อย่าลืมว่าเสี่ยพงษ์ศักดิ์ผู้เป็นบิดาของพิธามีธุรกิจหลายอย่าง เป็นเจ้าของธุรกิจนับสิบบริษัท แต่ที่เป็นเรื่องก็คือ บ. อกริฟู้ด จำกัด ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น บ. ออย ฟอร์ ไลฟ์ ผลิตน้ำมันรำข้าว ในช่วงที่พิธาเป็นกรรมการบริษัท ช่วงปี 2550-2559 มีการปล่อยกู้ปริศนาให้ใครก็ไม่รู้ ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่มีหลักฐานการค้ำประกันทำให้บริษัทต้องแทงเป็นหนี้สูญถึง 117 ล้านบาท ถึงขนาดต้องมาตั้งงบประมาณชดใช้หนี้ก้อนดังกล่าวในภายหลัง แค่นั้นไม่พอในช่วงที่นั่งอยู่ในบริษัท พิธายังไปเซ็นค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทกับสถาบันการเงินเป็นเงินสูงถึงเกือบ 460 ล้านบาท ไม่รู้การค้ำประกันตรงนี้ หนี้ตรงนี้ มีการรายงานกับป.ป.ช.หรือไม่ และมีความไม่ชอบมาพากลอย่างไร ทำไปทำมาบริษัทที่เป็นกงสีที่ว่าเกิดเงื่อนงำทั้งสองขา ยืมเงินสถาบันการเงินมา ปล่อยกู้ปริศนาให้ใครก็ไม่รู้ ยิ่งขุดยิ่งมึนยิ่งสาวยิ่งยุ่งอีรุงตุงนังดีแท้ ” โกงเงินกงสี หากินกับธุรกิจของตระกูล” หลายปีก่อนมีระดับคนใหญ่ในรัฐบาลเอามาเม้าท์มอยส์หอยสังข์ให้นักข่าวฟัง ไม่คิดว่าวันนี้จะกลายเป็นประเด็นร้อนในยุทธจักรการเมือง เท็จจริงก็ต้องพิสูจน์กันไปตามกระบวนการยุติธรรม
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยิ่งไปกว่านั้น พิธายังถูก ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค เพื่อเอาผิดหลังจากไปออกรายการกรรมการข่าว “คุยนอกจอ” กับสรย้วย ทางช่องยูทูป โชว์เก๋าเล่าเรื่องนโยบายสุราก้าวหน้าและรสนิยมการดื่มของตัวเอง พร้อมกับเปิดเผยชื่อยี่ห้อและเชียร์สุราชุมชนที่ตัวเองดื่มหลายชื่อ อันเข้าข่ายเป็นการโฆษณา ต้องห้ามตามกฎหมาย ชนิดผิดเต็มๆ เผลออาจตายน้ำตื้นได้ง่ายๆ เพราะตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 ม. 32 บัญญัติชัดเจนว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือทางอ้อม….” ตามบทบัญญัติที่ว่า ยังกำหนดบทลงโทษไว้ใน ม. 43 สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน ม. 32 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่ เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ดีไม่ว่าดีพิธาก็ไปหาเรื่องแท้ๆ ของกำลังขึ้น คนกำลังดัง กระแสกำลังมา ตอนนี้ก็ใหญ่คับประเทศทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะมีคาถา ” 14 พ.ค. 14 ล้านเสียง” คุ้มกบาลอยู่
สุดท้ายที่ต้องเหยียบเบรกถึงพิธาดังๆเตือนถึงก้าวไกลให้ได้สติ จนถึงวันนี้พวกคุณมึงยังไม่ได้เป็นนายกฯ ยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเลย ทำอะไรก็อย่าห่าม ทำอะไรก็อย่าไปลามปามคนอื่นมาก กกต.ยังสั่งนับคะแนนใหม่ 47 หน่วย รับรองส.ส.ก็ยังไม่ครบ 95 % 475 คนเลย สภาก็ยังไม่เปิด เลือกประธานสภาก็ยังไม่ได้ ไหนการโหวตนายกฯต้องใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภา คือ 376 เสียงจาก 750 คน ได้เสียงส.ส.กับส.ว.แล้วหรือ มั่นใจหรือยังว่าเสียงพอ เพราะส.ว.รู้สันดานก้าวไกลดี “ล้มเจ้า ชังชาติ” ประกาศแก้รัฐธรรมนูญ เลิก ม.112 เปลี่ยนการปกครองประเทศ เดินตามก้นอเมริกา ไม่มีทางที่สภาสูงจะยกมือให้ หัวเด็ดตีนขาดต้องป้องกันพิธากับฝ่ายส้มให้ได้ ไม่งั้นชาติบรรลัยแน่ คนในยุทธจักรส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าพิธาตกม้าตายก้าวไกลเทกระจาดไม่มีทางได้เป็นนายกฯไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาลแน่นอน ตอนนี้ก็โดนเพื่อไทยลับลวงพรางไปก่อน ถึงเวลาโหวตไม่ผ่านก็จะรู้ธาตุแท้การเมืองว่าเป็นอย่างไร เพื่อไทยก๊วนแดงจับมือกับขั้วเก่าพรรครัฐบาลรักษาการณ์ไว้หมดแล้ว ตีเนียนตามบทเดินตามเกมไปก่อน ถึงเวลาก้าวไกลแพ้โหวตฝ่ายแดงคอกแม้วก็ออกมาน็อคมืดเลย ได้ประธานสภา ได้นายกฯ ได้เป็นแกนนำรัฐบาล ทีมก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน การเมืองหัวเราะทีหลังดังกล่าว ไอ้ที่ไปไล่คนอื่นให้เก็บของระวังจะย้อนเข้าตัว 3-4 ประเด็นนี้แหละที่จะทำให้พิธากลับไม่ได้ ไปไม่ถึง ขี่หลังเสือถ้าคุมมันได้ก็มีอำนาจสยบทุกสรพพสัตว์ในผืนป่า แต่ถ้าขึ้นหลังมันแล้วไม่มีคาถาไม่กล้าหาญไม่สุจริตเที่ยงธรรมพอเสือมันจะกัดจะขย้ำเอา สยามประเทศเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์คนชั่วไม่มีทางได้ปกครอง คนไทยเชื่อกันอย่างนั้นจริงๆ ไม่เชื่อคอยดูกัน
///////////////////