ในขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลและบรรดาด้อมส้ม ก็พยายามทำให้คนในฝ่ายตัวเองเชื่อว่า ไม่ว่าคุณพิธาจะทำผิดหรือไม่ได้ทำผิด การที่มีคนลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง เป็นการชี้ขาดแล้วว่าให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ และพยายามทำให้คนเชื่อว่าคุณพิธากำลังถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล ซึ่งคนจำนวนมากก็เชื่อจนลืมไปว่า นี่เป็นเกมการเมือง และถ้าคุณพิธาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีใครทำอะไรคุณพิธาได้ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องถูกขุดคุ้ยตรวจสอบ อันเป็นสัจธรรมที่ต้องยอมรับหากรักจะเล่นการเมือง
อย่างไรก็ดี วันนี้เราจะไม่ไปถกเถียงกันในเรื่องข้างต้น แต่เราจะมาลองพิจารณากันดูว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีความเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามองเฉพาะที่คุณวุฒิการศึกษา ต้องยอมรับเลยว่า คุณพิธามีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เรียนมาทั้งด้านบริหารธุรกิจ และด้านการเมืองการปกครองจากมหาวิยาลัยที่มีชื่อก้องโลก 2 แห่ง จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย หากเทียบกับคุณธนาธรในด้านการศึกษา คุณธนาธรต้องชิดซ้ายไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้ามองที่พฤติกรรมของคุณพิธา และเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าคุณพิธาเป็นคนอย่างไร เราอาจต้องคิดใหม่และต้องชั่งน้ำหนักระหว่างวุฒิการศึกษากับตัวตนที่แท้จริงของคุณพิธาว่าจะให้น้ำหนักส่วนไหนมากกว่ากัน เราลองมาดูกันว่า พฤติกรรมและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทยอยเปิดเผยออกมามีอะไรบ้าง
1. คุณพิธาให้สัมภาษณ์ผู้จัดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ว่า ตอนที่ยังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องบินกลับมางานศพคุณพ่อ พอดีเกิดการรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ตัวเองเป็นข้าราชการการเมืองช่วยงานดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถูกทหารตรวจข้าวของและกักตัวไว้จนไปงานศพไม่ทัน ทั้งยังถูกอายัดบัญชีธนาคาร ต้องหาเงินไปจัดงานศพคุณพ่อ สังเกตว่าคุณพิธาพยายามบอกว่าตัวเองก็ได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหารค่อนข้างมาก เกือบจะเรียกได้ว่าถูกทหารกลั่นแกล้งเลยก็ว่าได้
ข้อเท็จจริง: มีคนไปขุดคุ้ยว่าคุณพิธาเคยให้สัมภาษณ์เรื่องเดียวกันนี้ ในรายการโทรทัศน์อีกรายการหนึ่งนานมาแล้วตั้งแต่ปี 2549 คุณพิธาให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกันกับที่ให้สัมภาษณ์เมื่อเป็นนักการเมืองแล้ว สังเกตว่าการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นไม่ได้พยายามพูดถึงทหารในด้านลบ แต่บอกว่าเขาก็ต้องตรวจเป็นธรรมดา และแม้ว่าจะไปงานศพช้าสักหน่อยแต่ก็ไปทัน ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการถูกอายัดบัญชีเงินฝาก
นักข่าวยังไปสัมภาษณ์ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งเป็นหัวหนัาคณะตัวแทนรัฐบาลไทยที่เดินทางกลับจากการประชุมที่องค์การสหประชาชาติ โดยดร.ปานปรีย์ให้ข้อมูลว่า มีคนฝากคุณพิธาซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ที่บอสตัน ให้ร่วมเดินทางมากับเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษ และเมื่อเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาไม่มากก็เดินทางออกจากสนามบินได้ และตัวดร.ปานปรีย์ก็ไม่ได้ถูกอายัดบัญชีแต่อย่างใด ตัวคุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อาของคุณพิธาซึ่งเป็นคนสนิทของคุณทักษิณ ก็ไม่ได้โดยอายัดบัญชีเช่นกัน
2 . กรณีถือหุ้น itv คุณพิธาให้ข่าว และตอบคำถามนักข่าววว่า ถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง เมื่อไม่กี่วันมานี้มีข่าวว่า คุณพิธาโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น เมื่อนักข่าวถามว่า คุณพิธาได้เคยรับโอนหุ้นมาหรือไม่ คุณพิธาตอบว่า ตัวเองไม่ได้เคยรับโอนหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด และพยายามปั่นกระแสว่ามีคนพยายาม ปลุก itv ให้ฟื้นคืนชีพเพื่อสกัดกั้น “พวกเรา”
ข้อเท็จจริง : คุณพิธามีชื่อปรากฏอยู่ในหนังสือ บริคณห์สนธิหรือ บอจ 2 ตั้งแต่ปี 2551 จนถึง 2566 เพิ่งโอนให้ทายาทคนอื่นไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง หากคุณพิธาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก จะต้องระบุในหนังสือบริคณห์สนธิว่า “ผู้จัดการมรดก” แต่ในหนังสือบริคณห์สนธิมีเพียงช่ือของคุณพิธาเท่านั้น และหากคุณพิธาไม่เคยรับโอนหุ้นเลย ชื่อผู้ถือหุ้นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิจะต้องเป็นชื่อของผู้ถือหุ้นเดิมคือชื่อคุณพ่อคุณพิธา
itv แม้ไม่ได้มีการผลิตรายการโทรทัศน์ออกอากาศในช่อง UHF เช่นเดิมเนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกสัญญาสัมปทานไปแล้ว แต่ itv ยังไม่เคยจดแจ้งปิดกิจการ มีตัวเลขกำไร และส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาทุกปี ซึ่งหมายความว่า itv อาจลุกขึ้นมาดำเนินธุรกิจได้ทุกเมื่อ
ข้อสังเกต : มีข่าวว่า สาเหตุที่คุณพิธาตัดสินใจโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น ก็เพราะต่อให้ขาดคุณสมบัติการเป็นส.ส. แต่อาจยังเป็นนายกรัฐมตรีได้ถ้าในวันที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คุณพิธาไม่ได้ถือหุ้น itv แล้ว และอีกสาเหตุหนึ่งคือ คุณพิธาเลือกแนวทางการต่อสู้คดี โดยอ้างว่าได้สละมรดกที่เป็นหุ้น itv แล้ว ดังนั้นเท่ากับว่าคุณพิธาไม่ได้เคยถือหุ้น itv มาก่อนเลย นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณพิธาจึงตอบนักข่าวว่า ไม่ได้รับโอนหุ้น itv มาเลย
3. ฐานเศรษฐกิจเปิดหลักฐานว่าระหว่างปี 2549 ถึง ปึ 2560 บริษัทออยล์ ฟอร์ไลฟ์ ของครอบครัวคุณพิธาได้ให้เงินกู้ระยะสั้นให้กับบุคคลปริศนา ในระหว่างที่คุณพิธาเป็นกรรมการบริษัท รวมกันแล้วเป็นเงิน 117 ล้านบาท ปีต่อๆมายอดเงินกู้ดังกล่าวนี้ ไม่ได้มีการได้รับชำระหนี้และได้ตัดเป็นหนี้สูญ ไปแล้วทั้งหมด
ข้อสังเกต : ปรากฏการณ์เช่นนี้ คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ มีการ siphon เงินออกจากบริษัทไปใช้ทำอะไรสักอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ เรื่องนี้แม้เป็นเรื่องส่วนตัวภายในบริษัทของคุณพิธา แต่เนื่องจากคุณพิธากำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล หากทำได้สำเร็จตัวเองจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพิธาจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อสาธารณะว่าเงินกู้จำนวนนี้ใครเป็นคนเอาไป เมื่อไม่ได้ชำระหนี้ ทำไมกลับตัดเป็นหนี้สูญ เงินจำนวนมากถึง 117 ล้านบาท ทำไมจึงไม่ฟ้องร้องดำเนินคดี
จนบัดนี้ คุณพิธาก็ยังไม่ได้ออกมาชี้แจง นั่นแสดงว่าไม่สามารถชี้แจงได้ พรรคก้าวไกลพยายามเน้นเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ถึงกับพยายามจะให้ตรวจสอบทรัพย์สินและการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์ แต่บริษัทของหัวหน้าพรรคกลับไม่ยอมออกมาชี้แจงให้ชัดเจน
4. ฐานเศรษฐกิจเปิดหลักฐานว่า บริษัทออยล์ ฟอร์ไลฟ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ในช่วงที่คุณพิธาเป็นกรรมการบริษัทและเป็นกรรมการผู้จัดการ ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม 2549 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2560 บริษัทมีหนี้สินกับสถาบันการเงินหลายแห่งรวม 460 ล้านบาท นอกเหนือจากทรัพย์สินและบัญชีเงินฝากต่างๆที่จดจำนองเพื่อค้ำประกันหนี้แล้ว คุณพิธาในฐานะกรรมการบริษัทก็ได้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ทั้งหมดด้วยคนหนึ่ง ในปี 2562 บริษัทผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารหลายแห่ง และเจ้าหนี้ได้ฟ้องร้องต่อศาลขอให้ชำระหนี้ ต่อมาบริษัทได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2565
ข้อสังเกต : ยังไม่ชัดเจนว่า ในบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน ที่คุณพิธายื่นต่อปปช.ได้รวมรายการค้ำประกันหนี้สินก้อนโตก้อนนี้แล้วหรือไม่ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของกกต. ถ้าไม่ได้ยื่น คุณพิธาอาจโดนคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอีกคดีหนึ่ง
จะเห็นว่าข้อเท็จจริงข้างต้นสวนทางกับชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันในวงสังคมก่อนที่จะลงเล่นการเมืองว่า คุณพิธาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถกอบกู้กิจการของครอบครัวจากที่มีหนี้สินหลายร้อยล้าน และประสบภาวะขาดทุน กลับมาเป็นทำกำไร และเป็นบริษัทชั้นนำในระดับเอเซียเลยทีเดียว ความจริงที่ปรากฏขึ้น เป็นการบ่งชี้ว่า ชื่อเสียงของคุณพิธาที่เราได้ยินกันในวงสังคมล้วนไม่เป็นจริงและเกิดจากการสร้างภาพทั้งสิ้น
เชื่อว่าต่อจากนี้ไป ความจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องของคุณพิธาจะค่อย ๆ พรั่งพรูออกมา ซึ่งล้วนน่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับตัวคุณพิธา เมื่อเป็นเช่นนี้ หากด้อมส้มยังคิดว่าคุณพิธายังเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นสิทธิของเขา แต่ไม่มีสิทธิอ้างว่าเป็นเพราะมีเสียงชี้ขาดแล้ว 14 ล้านเสียง เพราะ 14 ล้านเสียง นอกจากจะยังไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว ยังไม่ใช่ทุกคนที่เลือกเพราะต้องการให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งในวันเลือกตั้ง ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวคุณพิธายังไม่ได้ปรากฏออกมาทั้งหมด หากทราบเช่นนี้ก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลอาจไม่ได้เป็นพรรคที่ได้เสียงเป็นที่หนึ่งก็ได้