อย่างที่รู้ว่าแม้จะผ่านการเลือกตั้งมาเกือบจะครบเดือนแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไมีการประกาศรับรองส.ส.อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข่าวหลุดออกมาว่ากกต.เตรียม “ปล่อยผี” ว่าที่ผู้สมัครส่วนใหญ่เกือบ 70 % ที่ชนะการเลือกตั้งและไม่โดนเรื่องร้องเรียนออกมา หลังการประชุมกกต.ในวันอังคารที่ 13 มิ.ย.2566 นี้หลังการประชุม ส่วนที่เหลืออีก 20-30 เขตที่ถูกร้องเรียนก็อาจจะขอเวลาอีกหน่อยในการพิจารณาเรื่องร้องเรียน อย่างไรก็ตามล็อตใหญ่ของส.ส.น่าจะเกิดก่อนวันที่ 28 มิ.ย.2566 ก่อนฉัตรชัย จันทร์พลายศรี 1 ใน 6 กกต.จะครบวาระในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้ามีการประกาศรับรองส.ส.ออกมาจริง กระบวนการเลือกนายกฯ ที่พิธากับก้าวไกลรออยู่ก็เรียกว่าคืบไปอีกครึ่งก้าว แต่ก็ต้องลุ้นว่ากกต.จะไฟเขียวส.ส.ครบ 475 คน หรือราว 95 % ได้เมื่อไหร่เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภา แต่จะเกิดขึ้นก่อนครบ 60 วันหลังการเลือกตั้ง คือก่อน 13 ก.ค.2566 นี้อย่างแน่นอน ที่ตอนนี้เรื่องการรับรองส.ส.ก็เรื่องหนึ่ง เรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังต้องลุ้นเพราะไม่รู้หวยจะไปออกที่ก้าวไกลหรือเพื่อไทย ที่ 2 พรรคก็ยังงัดข้อกันอยู่ยังชิงเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติแบบไม่ลดละ ดูเหมือนนิ่งแต่ยังไม่จบ ดูเหมือนสงบแต่ยังวุ่นวาย เพราะตำแหน่งนี้ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันง่ายๆ เพราะเป็นต้นทางในการควบคุมเกมในสภา เสนอกฎหมาย ควบคุมการประชุมต่างๆ
และถึงแม้จะผ่านการรับรองส.ส. จะคุยเรื่องประธานสภากันได้ แต่ก๊วนส้มล้มเจ้า หน้าหล่อกับพรรคก้าวเกินก็ยังต้องลุ้นด่านยากๆ อุปสรรคอีกหลายเปราะ ว่าจะเป็นสร.1 กว่าจะขึ้นเป็นรัฐบาลได้ อย่าลืมว่าพิธาจะเป็นประมุขฝ่ายบริหารได้ ตอนโหวตต้องได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภา คือ 376 เสียงจาก 750 เสียง ของส.ส.กับส.ว.ในสภา ที่ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเพราะตอนนี้มีหลายประเด็นที่ส.ว. สภาสูงต่อต้านไม่อยากสนับสนุนพิธา เรื่องแรกอย่างที่รู้ก็คือการมีจุดยืนอันตรายความคิดชั่วช้าสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ประเทศลุกเป็นไฟ ไล่เรียงไวไว ประกาศจุดยืนแก้รัฐธรรมนูญรื้อกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นเรื่องแรกใน MOU 23 ข้อ ในการตั้งรัฐบาลประชาชน 8 พรรค 312 เสียง มีเป้าหมายด้อยค่าสถาบัน หวังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งเป้าแก้ไขม.112 ลดโทษคนด่าสถาบันไฟเขียวให้วิพากษ์วิจารณ์เจ้านายแบบสนุกปากได้อย่างเสรี ประกาศนโยบายต่างประเทศแบบ “มีตัวตน” ตามกันไอ้กันตามรอยตะวันตก รุกคืบพม่าวางตัวเป็นพี่เบิ้มอาเซียน ตอนนี้ก็มีปัญหากับพม่ากับกัมพูชา สนับสนุนแนวทางแบกแย่งดินแดนให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยุให้ปัตตานีปกครองตนเอง ฯลฯ นี้ขนาดไม่เป็นรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ พิธากับก้าวไกลยังแสดงให้เห็นหลายเรื่องว่าจะไปทำอะไรกับสถาบัน มีแววบ้านเมืองลุกเป็นไปไฟในอนาคตกันใกล้แน่ จุดนี้ก็เลยทำให้ส.ว.หลายคนจำต้องตัดไฟแต่ต่้นลม เพราะปล่อยพิธาเดินไกลไปกว่านี้ไม่ได้
ประการต่อมาก้าวไกลฝ่ายส้มยังมีแกนนำมีคนในพรรคส่วนใหญ่คิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรวเป็นพระประมุข ดูจากคดีความที่คนในพรรคตัวเองโดนร้องก็ชัดว่า “ล้มเจ้า ชังชาติ” เข้าเส้น แม้ล่าสุดกกต.จะยกคำร้อง 3 เรื่อง โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานเอาผิดตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง ม. 92 กกต.เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ( 1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ( 2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่การกระทำที่แกนนำก้าวไกลทำก็ชัดเจนว่าเข้าข่ายลบหลู่สถาบันแบบชัดเจน เรื่องนี้อย่าว่าแต่ส.ว.เลย คนไทยที่รักชาติรักสถาบันก็ทนไม่ได้ ประกอบด้วย 1. ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก หาเสียงพาดพิงสถาบัน กล่าวร้ายโครงการหลวง 2. พิธาให้สัมภาษณ์เล็งยกเลิกกฎกมายอาญา ม.112 3. เตี้ยหลังม็อบ โพสต์ FB ยกเลิก ม.112 พาดพิงสถาบัน ฯลฯ
ประเด็นต่อมาพิธายังมีคดีความเรื่องการถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ที่ตอนนี้ยังซัดกันอีรุงตุงนัง ล่าสุดวันศุกร์ที่ผ่านมา ( 9 มิ.ย. 2566) 6 อรหันต์กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับคำร้องกรณีพิธาถือหุ้นไอทีวี ด้วยเหตุคำร้องยื่นเกินกว่าระยะเวลาที่จะรับคำร้องไว้พิจารณา ถึงกระนั้นกกต.ก็ยังรับพิจารณาในประเด็นตามคำร้องที่ระบุว่า พิธาเป็ฯบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามแต่ได้สมัครรับเลือกตั้ง อันเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 42(3) และ ม. 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งโทษอันนี้หนักกว่าการถือหุ้นไอทีวีเสียอีก เพราะเป็นความผิดอาญาถ้าสอบแล้วพบว่าผิดจริง จำคุก1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และ เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี ตอนนี้พิธากับพรรคพวกพยายามออกมาอธิบายสังคมบิดว่าไอทีวีไม่ได้ทำทีวีแล้ว ไม่มีจอแล้ว แต่เรืองไกรเห็นต่างว่ายังไงก็เป็นสื่อแค่ไม่ได้ออกอากาศแย้งยังมีผลกำไรขาดทุน ยังประกอบการอยู่ ทำไปทำมาพิธาเลยกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ กกต.ไม่รับเรื่องถือหุ้นไอทีวีแต่รับสอบเรื่องทำผิดกฎหมายลูกฝ่าฝืนกฎหมายอาญาเหนื่อยหนักเข้าไปอีก
ยังไม่นับรวมคดีกงสีของพิธา ที่ยังมีปริศนามีความไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่หน้าหล่อนั่งเป็นกรรมการในบริษัท ตั้งแต่ปี 2550-2559 ที่มีทั้งการปล่อยกู้แบบปริศนา ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่มีหลักฐานการค้ำประกัน ทำให้บริษัท ออย ฟอร์ ไลฟ์ เป็นหนีสูญ 117 ล้านบาทจนต้องมาตั้งชดเชยขาดทุนหลังพิธาออก หรือกรณีพิธาเซ็นค้่ำประกันเงินกู้สถาบันการเงิน 460 ล้านบาท อันนี้ก็ไม่รู้ว่ามีการแจ้งบัญชีเหล่านี้กับป.ป.ช.หรือไม่ และการทำธุรกรรมหลายเรื่องหลายครั้งในบริษัทของครอบครัวมันมีเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมายผิดปกติขัดคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ ที่อนาคตก็ต้องมีการพิสูจน์ แม้ว่าตอนนี้สื่อหลักส่วนใหญ่จะอวยพิธาไส้แตก โดยไม่หยิบ “ความจริง” มารายงาน ไม่ไปตรวจสอบ “ความไม่ชอบมาพากล” ของพิธามาเผยแพร่ แต่เชื่อแน่ว่าความจริงต้องปรากฎ เงื่อนงำต้องคลี่คลาย ทั้งหลายทั้งมวลนี้คืออุปสรรค คือขวากหนาม คือปมร้อนที่ ส.ว. 250 คนกำลังจับตาดู แต่เชื่อแน่ว่าทั้งหมดจะถูกหยิบขึ้นมาเป็น “เหตุผล” เป็น “ข้ออ้าง” ในการเบรกพิธาในการหยุดก้าวไกลไม่ให้ไปต่อ ขนาดไม่ได้เป็นนายกฯ ขนาดไม่ได้เป็นรัฐบาล พิธากับก้าวไกลยังมีสารพัดเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย จิปาถะเรื่องร้องเรียนมากมายไปหมด จะเรียกว่าถูกวางยา ถูกตัดแข้งตัดขาทั้งหมดก็ไม่ใช่ ถือหุ้นก็เรื่องส่วนตัวของพิธาเอง เรื่องกงสีก็เรื่องภายในครอบครัวของพิธาเองล้วนๆ ไม่มีใครไปแต่งเสริมเติมแต่ง ชั่วดีถี่ห่างก็มาจากสิ่งที่พิธาทำทั้งหมด
////////////////////////