เมื่อ 13 มิถุนายน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “จับต้นชนปลาย?” ถึงกรณีคลิปเสียงการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีผ่านสื่ออิเล็คทรอนิคส์ ไปถึงฐปณีย์ เอียดศรีไชยว่า สิ่งสำคัญฐปณีย์ เป็นนักข่าวไอทีวีมาก่อน ประชาชนเชื่อถือการรายงานข่าวตรงไปตรงมา ย่อมสร้างอารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองได้ง่าย แต่โดยความจริงแล้ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ถือหุ้นไอทีวีจำนวน 4.2 หมื่นหุ้นมา 17 ปีในฐานะผู้จัดการมรดกคือ ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย
“จตุพร” เชื่อมีเบื้องลึก เบื้องหลังคอยชักใยสกัด “พิธา” จี้กกต.เร่งตรวจสอบคลิปประชุมไอทีวี ไขความกระจ่างให้สังคม
ข่าวที่น่าสนใจ
ส่วนเสียงในคลิปไม่ตรงกับการรายงานบันทึกการประชุมนั้น นายจตุพร กล่าวว่า มีไอ้โม่งตัวใหญ่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ต้องการให้เห็นร่องรอยเส้นทางการแต่งตัวให้นายพิธาถือหุ้นสื่อเข้าข่ายมีคุณสมบัติต้องห้ามการสมัคร ส.ส. อีกทั้งเชื่อว่าไอ้โม่งตัวใหญ่ออกแบบสร้างเรื่องกรณีถือหุ้นไอทีวี ต้องเป็นผู้เคยประกอบธุรกิจด้วยกัน มีสายสัมพันธ์ช่วยเหลือกันมาก่อน จนมีพระคุณจึงสามารถทำงานตามการร้องขอได้ ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นเพียงตัวเล็กๆ ในสถานการณ์นี้ แม้ผู้สมัคร ส.ส.ภูมิใจไทย เป็นผู้เปิดประเด็นขึ้นก่อนก็ตาม ดังนั้น กกต.ในฐานะหน่วยงานไต่สวนการถือหุ้นสื่อต้องใช้อำนาจเรียกเอาหลักฐานที่เป็นทั้งคลิปวีดีโอ ภาพเต็ม คลิปทุกชนิดมาตรวจสอบหาความจริงให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว
นายจตุพร ยังเชื่อว่า เป็นแผนซ้อนแผนหลายชั้น และเชื่อว่าจะมีคำตอบถึงไอ้โม่งตัวใหญ่ชักใย ซึ่งจะเปิดเผยตัวตนในวันเลือกประธานสภาฯ และนายกฯ ดังนั้นผลลัพธ์จะได้รับการพิสูจน์ คงรอกันอีกไม่นานความจริงจะปรากฎขึ้น ดังนั้นการจัดการทางการเมืองเรื่องนี้จึงอำมหิตมาก แต่ในข้อกฎหมายแล้ว หากนายพิธา เชื่อในความสุจริตใจ ก็ไม่มีเหตุใดต้องไปโอนหุ้นสื่อ เพราะแสดงถึงการออกอาการแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ การยืนกระต่ายขาเดียวเท่านั้นว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากการเปิดคลิปวีดีโอนั้น หวังผลให้ส.ว.เปลี่ยนใจโหวตหนุนเป็นนายกฯ แล้ว แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีเหตุบ่งชี้ว่า ส.ว.เปลี่ยนใจมาหนุนนายพิธา เพิ่มจำนวนเท่าไร ผลลัพธ์การโหวตให้เป็นนายกฯ ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง