นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค” ระบุว่า จาก “ชิน” ไป “อิน” และจาก “โทนี่” ไป “ทิมสกี้” “เขา….มาเพื่อกวาดล้างตัวเอง” จุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายทางการเมืองเริ่มต้นเมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หรือโทนี่ วู้ดซัม นามแฝงของเขา ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้สิงคโปร์ในราคาราว 7 หมื่นล้าน โดยไม่ต้องเสียภาษีสักบาท ไปเมื่อราวๆ 16 ปีที่แล้ว และเมื่อสิงคโปร์ซื้อไปแล้วก็เปลี่ยนชื่อ ชินคอร์ป เป็น อินทัช ซึ่งเป็นด้วยความบังเอิญ หรือโชคชะตา หรือสถานการณ์ที่เรียกว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวก็ไม่รู้ เพราะจาก ชินคอร์ป ของทักษิณที่ทำให้ทักษิณกลับไทยไม่ได้มาตลอดชีวิตที่เหลือ ถูกสิงคโปร์เปลี่ยนชื่อเป็น อินทัช ในปัจจุบันหลังจากเปลี่ยนไปอยู่ในมือสิงคโปร์ และในที่สุดเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่จากสิงคโปร์กลับมาสู่คนไทยอีกครั้ง ภายใต้ชายคา บริษัทกัลฟ์ ของ สารัชถ์ รัตนาวะดี
ทักษิณ ขายชินคอร์ปไป 7 หมื่นล้าน กัลฟ์ ซื้ออินทัช กลับมาในราคาราว 8 หมื่นล้าน แล้วเรื่องซื้อขายหุ้น ซื้อขายบริษัทจากอดีตนายกฯ มันมาเกี่ยวอะไรกับว่าที่นายกฯ พรรคก้าวไกลของว่าที่นายกฯทิมสกี้ ประกาศว่านโยบายพระเอกขี่ม้าขาวด้วยการกวาดล้างทุนผูกขาด ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหรือผู้ที่จะถูกผลกระทบจากนโยบายพระเอกขี่ม้าขาวด้วยการกวาดล้างทุนผูกขาดก็คือ สารัชถ์ รัตนาวะดี มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทยและบริษัทกัลฟ์ของเขา เรื่องราวมันน่าติดตามไม่แพ้ละครหลังข่าวตรงที่ เรื่องราวยืดเยื้อ ยืดยาวที่เล่ามาแต่ต้นของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณมาบรรจบลงกับว่าที่นายกรัฐมนตรีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ในตอนท้าย เพราะไม่รู้ใครลิขิตให้ชีวิตทิมสกี้ได้รับมรดกหุ้นไอทีวีมาจากพ่อ ซึ่งกฎหมายบัญญัติเอาไว้ตั้งแต่ทิมน้อยยังเป็นวัยรุ่นละอ่อน ว่าห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งถือหุ้นสื่อ