“ความวัว” ยังไม่ทันหาย “ความควาย” ทำท่าจะโผล่ตามมาติดๆ เมื่อกลุ่มแกนนำหน้าเดิม พฤติกรรมเดิม และออกมาปลุกระดมประชาชนให้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยเป้าหมายเดิมๆ ได้โผล่หน้ารับแสง เปิดตัวด้วยบทบาท “ผู้นำม็อบอีกครั้ง” ภายใต้สถานการณ์ความวุ่นวายของบ้านเมือง
“นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในการขับไล่ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมปลุกระดมชักชวนผู้มีอุดมการณ์เข้าร่วม “คาร์ม็อบ” จนเหตุการณ์บานปลายเอาไม่อยู่ กลายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลัก ที่ปล่อยให้เด็กและเยาวชน เปิดสมรภูมิ ปะทะกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจรายวัน
บทบาทของ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” โดดเด่นเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มเดียวกัน จากการเป็นผู้นำ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553 มีเป้าหมายเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. หรือ “คนเสื้อแดง” ในครั้งนั้น สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สืบเนื่องมาจากเหล่าแกนนำพากันปลุกระดมให้ก่อการรุนแรงตอบโต้เจ้าหน้าที่
ต่อมา รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารเข้ากดดันกลุ่มผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 2,100 คน จากนั้น อภิสิทธิ์ประกาศแผนปรองดอง ซึ่งผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติม การชุมนุมจึงดำเนินต่อไป และอภิสิทธิ์ก็ประกาศยกเลิกวันเลือกตั้งใหม่ตามแผนปรองดอง ก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม จนกระทั่ง แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ผลพวงจาการปลุกระดม ของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในครั้งนั้น ทำให้ตัวเค้าเองต้องโทษหลายคดี มีหลักฐานชัดด้วยวลีปลุกระดมคุ้นหู “เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” และหนึ่งในคดีที่ นายณัฐวุฒิ พร้อมพวกต้องร่วมกันรับผิดชอบคือ การที่ ศาลฎีกาสั่งชดใช้ 3 แกนนำ นปช.เผาตึกย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปี 53
ย้อนกลับไป เมื่อเวลาประมาณ 09.45 น. ของวันที่ 16 ต.ค. 2562 ที่ศาลแพ่ง ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 1762/2554 ที่นายประสงค์ กังวาฬวัฒนา เจ้าของกิจการอาคารพาณิชย์ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นโจทก์ฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. และคนอื่นๆ รวม 10 รายชื่อ
บรรยายโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคาร และร้านค้าย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (บริเวณใกล้อาคารเซ็นเตอร์วัน) ต่อมาเกิดการชุมนุมของกลุ่มนปช. และเจ้าหน้าที่รัฐได้สลายการชุมนุม นปช. ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 นำไปสู่เกิดเหตุการณ์เผาอาคารในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในวันที่ 20-21 พ.ค.53โดยสำนวนนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีเผาอาคารพาณิชย์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใกล้อาคารห้าง สรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน และอาคารดอกหญ้า โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ในฐานะผู้เอาประกัน เรียกค่าเสียหายตามกรมธรรม์ และฟ้องจำเลย นปช.ฐานละเมิด
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ทั้งส่วนของสัญญาประกันภัย และละเมิด ส่วนศาล อุทธรณ์พิพากษายกฟ้องยืนกับจำเลยที่ 1-7 แต่พิพากษาให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ จำเลยที่ 8-10 (แกนนำ นปช.) ร่วมกันชำระเงิน 30,509,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พ.ค. 53 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันชำระเงิน 638,710 บาท ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 8-10 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท
จากปี 2553 สู่ ปี 2564 นับเป็นเวลา กว่า 1 ทศวรรษ ที่นายณัฐวุฒิ ได้หลอกพาคนเสื้อแดงไปต่อสู้บาดเจ็บล้มตายในครั้งนั้น ไม่นับรวมคนที่โดนคดีความอีกเป็นร้อยชีวิต … “นายณัฐวุฒิ” ก็ยังตกผลึกความคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วตัวเค้าเองนั้นแหละคือหนึ่งในผู้ปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง มิหนำซ้ำวันนี้ ยังพาตัวเองกลับมาในวังวนเดิม ๆ พยายามปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ฟื้นคืนชีพ อ้างชวนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับชักนำเยาวชนคนรุ่นใหม่ลงถนน ก่อเหตุรุนแรงปะทะเจ้าหน้าที่ตำรวจ
