นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้ประกาศข่าว TOP NEWS โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “สันติสุข มะโรงศรี” โดยระบุว่า ไม่เคารพความเห็นผู้อื่น จะเป็นผู้นำประเทศได้อย่างไร เสียงข้างมากไม่เอาด้วยกับการแก้ 112
แม้แต่ในพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่เอาด้วย จึงไม่สามารถใส่ในเอ็มโอยู แม้แต่คนที่เลือกก้าวไกล 14 ล้านเสียง ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุน แต่คนจำนวนมากเลือกเพราะนโยบายหาเสียง เช่น เบี้ยคนชรา 3 พันบาท ค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท ฯลฯ อยากเป็นผู้นำประเทศ แต่ทำไมดึงดัน ไม่เคารพเสียงข้างมากของประชาชน มี ส.ส. 151 คน ไม่ใช่อาญาสิทธิ์ว่าจะทำอะไรกับประเทศชาติและผืนแผ่นดินนี้ก็ได้
ก่อนหน้านั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล นำ 149 ส.ส.พรรคก้าวไกล เข้ารายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการสภาฯ โดยใช้การเดินทางมาเป็นคณะ ด้วยรถโดยสารไม่ประจำทางทั้งนี้นายพิธา กล่าวว่าตัวเลข ส.ส.ไม่สำคัญเท่ากับการตั้งใจเข้ามาเป็นส.ส. ให้สมกับได้รับเลือกมา โดยพรรคมีกฎหมายก้าวหน้าที่สำคัญเพื่อประชาชน เช่น กฎหมายเพื่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ, กฎหมายเพื่อกลุ่มผู้ใช้แรงงาน, กลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ เป็นต้น และมีอีกหลายเรื่องที่จะพยายามทำในสภาฯชุดที่แล้ว แต่ถูกปัดตกไป
เมื่อถามถึงเหตุผลที่ใช้วันที่ 27 มิถุนายน มารายงานตัว นายพิธา กล่าวว่า มีหลายเหตุผลอย่างแรก คือ ตนติดโควิด จึงมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ และวันนี้ (27 มิถุนายน) มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ชาติไทย
นายพิธายังกล่าวว่า ตนกังวลที่ ส.ว.หลายคนออกมาแสดงจุดยืนไม่โหวตให้เป็นนายกฯ ซึ่งเท่าที่คุยหลายคนมีหลักและดุลยพินิจในการโหวตเลือกตามบรรทัดฐานที่ ส.ว.ที่ทำไว้ปี 2562 ว่า หากสภาล่าง ฝ่ายใดรวมกันได้ 251 เสียง ก็ไม่ต้องการฝืนมติของสภาล่าง เพราะเป็นมติที่มาจากประชาชน ดังนั้นจึงเชื่อว่า ภาพรวม 250 ส.ว. จะเป็นไปตามหลักการและขอให้ ส.ว.ยึดหลักการดังกล่าวให้มั่นมากกว่ามองเรื่องตัวบุคคลว่าจะโหวตให้ตนหรือไม่