เนื้อหาการให้สัมภาษณ์จะแบ่งเป็น 2 ช่วง
ช่วงแรกคุณศิริกัญญาจะพูดถึงเป้าหมายและนโยบายที่พรรคก้าวไกลจะทำ
– เศรษฐกิจต้องโตอย่างเป็นธรรม ในอดีตเศรษฐกิจโตก็จริง แต่ดอกผลการเจริญเติบโตไม่ได้รับการกระจายอย่างเป็นธรรม
– มุ่งเน้นการกระจายรายได้ให้เกษตร SME และแรงงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
– จัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันการค้า (ทลายทุนผูกขาด) โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการทำสัญญาผูกขาดกับรัฐบาล เช่น ธุรกิจเครื่องดื่มมึนเมา
– เรื่องของการเติบโต เน้นไปที่เพิ่มศักยภาพของแรงงาน เน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมไฮเทค เช่น ชิป และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เน้นเรื่องข้อมูลที่ทุกคนสามารถนำข้อมูลบางส่วนของรัฐไปใช้ได้
– ค่าไฟ จะเร่งคุยกับ กกพ.ปรับค่า FT ลง (ปกติจะมีการปรับทุกๆ 4 เดือน) ดังนั้นค่าไฟน่าจะลดลงได้ภายใน ธ.ค. ทันกรอบ 100 วันแรก
ส่วนที่ 2 คือ เน้นตอบคำถามต่างๆ
– เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน มองว่าเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการขึ้นค่าแรงสู่ดุลยภาพ เพราะที่ผ่านมาค่าแรงขึ้นเฉื่อยและไม่ทันกับเงินเฟ้อ
– จะมีมาตรการชดเชย เยียวยา ให้แก่ SME ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น งดการนำส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ 6 เดือน ค่าจ้างนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า และปรับลดภาษีนิติบุคคลให้กับ SME (25% เหลือ 10%) การลงทุนในเครื่องจักรสามารถนำมาลดภาษี 1.5-2 เท่า
– เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายใหญ่ นำการลงทุนในเครื่องจักรมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5-2 เท่า
– ช่วงเปลี่ยนผ่าน มีความยืดหยุ่น ผู้ประกอบการสามารถขอเลื่อนหรือขยายเวลาในการปรับขึ้นค่าแรงได้
– ความกังวลว่าจะมีการย้ายฐานการผลิต จะแก้ด้วยการเพิ่มทักษะของแรงงาน (labor productivity) เพื่อเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้แรงงานเพิ่มทักษะได้ในระยะเวลาสั้นๆ (รัฐบาลจะอุดหนุนครั้งใหญ่ในเรื่องนี้)
– เรื่องทลายทุนผูกขาด มองทุนผูกขาดคือทุนที่มีอำนาจเหนือตลาด หากได้มาด้วยการมีนวัตกรรมของตัวเองอันนั้นโอเค แต่เมื่อไหร่ที่ได้อำนาจเหนือตลาด จากการใกล้ชิดกับรัฐหรือได้มาโดยสัมปทานที่ไม่ได้มีการประมูลอย่างโปร่งใส หรือได้มาเพราะควบรวมโดยยังไม่มีกฎหมายควบคุม พวกนี้จะเข้าไปทลายด้วยการออกมาตรการจัดการ รวมไปถึงยกเครื่องกฎหมายการแข่งขันการค้า
– วิธีการทลายทุนผูกขาด กลุ่มโรงไฟฟ้า ไม่สามารถไปยกเลิกสัญญาสัมปทาน แต่จะแก้ด้วยการเจรจาเพื่อแก้สัญญา เช่นรัฐบาลจะขอเลื่อนการจ่ายค่าความพร้อมจ่ายแลกกับการขยายเวลาสัญญา มองอนาคตกำลังไฟสำรองที่เกินความต้องการจะลดลง (เท่ากับว่าจะมีแผนลดการทำสัญญาโรงไฟฟ้าใหม่ๆ)
– จะมีการทบทวนสัญญาการรับซื้อไฟใหม่ อาจจะต้องมีการเปิดเสรีการซื้อขายไฟฟ้า (ทุกวันนี้มีการผูกขาดโดยรัฐ มี กฟผ.เป็นผู้ซื้อผู้เดียว)
– กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตอนนี้เหลือผู้ประกอบการ 2 ราย จะปรับกฎระเบียบเปิดเสรีโทรคมนาคม และเร่งเจรจาหาผู้ประกอบการรายที่ 3, 4 มากกว่าที่จะเข้าไปจัดการกับกลุ่มผู้ประกอบการเดิม
– มองเรื่องดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลง บางส่วนมาจากตลาดเชื่อว่าก้าวไกลเอาจริงในการทลายทุนผูกขาด แต่สาเหตุใหญ่อื่นๆมาจาก 1. ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงด้วย 2. หุ้นมักจะลงหลังเลือกตั้ง 3. ฝรั่งขายเพราะความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเกิดจากปม รธน.ปี 2560 ที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีความยากลำบาก
– การเก็บภาษีจากกำไรเงินลงทุน Capital Gain Tax (CGT) มีความเป็นธรรมต่อนักลงทุนรายย่อยมากกว่าภาษีจากการขายหุ้น Financial Transaction Tax (FTT)
– มองว่าการลงทุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นกู้ พันธบัตร ที่ดิน หรือฝากเงินไว้ในธนาคารฯ ล้วนต้องเสียภาษี แต่การซื้อขายหุ้นกลับไม่เสียภาษี ถ้ามองที่ความเป็นธรรม การเก็บ CGT ดูเหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ตามยังต้องมีการศึกษาผลกระทบ จากผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสีย (ตอนนั้นเป็นพี่ทอม ไพบูลย์ เป็นผู้ถาม และถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้เสียประโยชน์จะไม่เห็นด้วยกับ CGT)
– ภาษีจากความมั่งคั่ง wealth tax จะเก็บจากผู้ที่มีสินทรัพย์ (รวมหุ้นที่ถือด้วย) ลบหนี้สิน เกิน 300 ล้านบาท ส่วนที่เกินตั้งแต่บาทแรกจะเก็บ 0.5% มีอยู่ประมาณ 1 แสนรายทั่วประเทศ
– ไม่คิดว่า wealth tax จะทำให้การออก IPO ของบริษัทต่างๆ ลดลง เพราะผลกระทบน้อย การได้ประโยชน์จากการระดมทุน เทียบกับ cost of fund จากแหล่งอื่น การเสีย wealth tax ถือเป็นต้นทุนที่เล็กน้อย
– ภาษีทรัพย์สิน เป็นแนวทางหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ผ่านมาคนอาจไม่สบายใจในการเสียภาษี แต่วันนี้ก้าวไกลจะใช้ภาษีให้คุ้มค่า เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข สร้างสวัสดิการมีหลักประกันที่มั่นคงในชีวิต
– RMF ในการนำมาหักลดหย่อนภาษี ควรมีอัตราที่เป็นธรรม ไม่เกิน 15% (เพื่อไม่ให้ลดหย่อนมากจนเกินไป) ส่วน LTF ตอนนี้เป็น SSF มองว่าตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องดีมากแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเอา LTF กลับมาอีก
– เห็นความสำคัญของตลาดทุน จะเน้นการเข้าไปทำให้เกิด fair game มุ่งเป้าไปที่ ก.ล.ต.ในการจัดการเอาผิดผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย
– ภาษีนิติบุคคล มองว่ามีช่องว่าง Gap กับภาษีบุคคลธรรมดาที่กว้างมาก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จะมีการทยอยขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 20% เป็น 23% และปรับลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดา
– จะไปมุ่งขึ้นภาษีที่ดินก่อน การขึ้นภาษีนิติบุคคล
– จะมุ่งไปที่รัฐสวัสดิการ (ไม่ถึงขั้นกลุ่มประเทศ Scandinavia Model) แต่ต้องให้ถึงขั้นสวัสดิการพื้นฐาน)
– แหล่งที่มาของเงิน แม้จะไม่ทำรัฐสวัสดิการ แต่โปรแกรมภาษีกำลังรออยู่ จากสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้การ refinance พันธบัตรชุดต่างๆ ส่งผลให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละปีไปชนขอบวินัยการคลังภายในปี 2570 ดังนั้น ก.คลัง (รัฐบาลชุดก่อน) มีแผนอยู่แล้วในการจะขึ้นภาษีต่างๆ
– ก้าวไกลไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีดังกล่าว เพราะจะเป็นการไปไล่เบี้ยกับประชาชนคนเล็กคนน้อย เช่น VAT และยกเลิกการยกเว้นผู้มีรายได้ 1.5 แสนบาทแรก
– จะเน้นการเก็บภาษีจากผู้ที่มีความสามารถในการจ่าย และจัดการกับงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณฐานศูนย์ ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นทิ้งไป และอุดรูรั่วเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ใช้ AI จับโกง
– ภาษีที่ดิน ภาษีค่าเช่า และภาษีอื่นๆ จะต้องมีการขันนอต เก็บให้มีประสิทธิภาพ
จากที่คัดย่อการให้สัมภาษณ์มา ผมขอสรุปตามความคิดเห็นของผมนะครับ
เป็นไปตามที่ Live ในทุกเช้าว่า เขาจะมุ่งสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ เน้นการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ลดกำไรส่วนเกินของกลุ่มทุนใหญ่ ผ่านการขึ้นค่าแรง ภาษี และเพิ่มคู่แข่ง ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้ SME
แม้จะไม่มีการไปยกเลิกสัญญา รวมไปถึงขวางการควบรวมที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แต่จะมีการออกมาตรการ กฎหมายการค้าต่างๆ
ดังนั้น จากนี้ประสิทธิภาพการทำกำไร การเติบโตของกลุ่มทุนใหญ่จะเหนื่อยและยากกว่าเดิม และกระทบการลงทุนแน่นอน
ส่วนความเหมาะสมของตำแหน่ง รมต.คลัง จากการฟังความคิดเห็นต่างๆ คุณศิริกัญญามีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองจะทำเป็นอย่างดี แต่ภาพเศรษฐกิจของประเทศมันมีการเชื่อมโยงกันหลายส่วน หลายคำตอบยังไม่เคลียร์ และมีคำถามต่ออีกมากมาย
เช่น เรื่องการขึ้นค่าแรงมีความเฉื่อยและตามเงินเฟ้อไม่ทัน แล้วผลกระทบจากการกระชากค่าแรงขึ้นจะยิ่งเป็นการเร่งเงินเฟ้อหรือไม่ สุดท้ายแล้วต้องขึ้นค่าแรงรุนแรงไปเรื่อยๆ หรือไม่
หรือการขึ้นค่าแรงจะทำให้มีการย้ายฐานการผลิตหรือไม่ คำตอบว่าต้องไปเร่งเพิ่มทักษะแรงงาน ยังเป็นคำตอบที่ชวนให้สงสัยว่ากลุ่มทุนต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในประเทศไทยนั้น เขามาด้วยค่าแรงเราถูกและเหมาะกับงานที่ใช้ทักษะไม่สูงมิใช่เหรอ หากต้องการทักษะสูง ค่าแรงสูง เขาจะย้ายฐานมาทำไม
ผลกระทบเรื่องนี้กลับไม่มีการพูดถึง เช่นเดียวกับความรู้ความเข้าใจในกลไกตลาดทุนต่อระบบเศรษฐกิจ
คำตอบที่ได้รับคือ ต้องมีการไปศึกษาก่อน
ถ้าเรื่องความตั้งใจในสิ่งที่จะทำผมให้เต็มสิบ แต่ถ้าเรื่องความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ทุกท่านลองไปฟังและให้คะแนนกันเอาเองนะครับ”