นายปดิพัทธ์ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่สองในปี พ.ศ.2566 สังกัดพรรคก้าวไกล เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก โดยได้หมายเลข 9 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 โดยได้รับคะแนนเสียง 40,842 คะแนน มากเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้ปดิพัทธ์ได้เป็น ส.ส. สมัยที่สอง
ทั้งนี้ นายปดิพัทธ์ ยังเคยออกมาให้สัมภาษณ์ กรณีส่วนตัวไม่น่าใช่เรื่องตั้งใจให้เอกสาร 71 รายชื่อ ว่าที่ ส.ส.ที่มีเรื่องร้องเรียนของ กกต.หลุด เหตุเพราะไม่มีหัวกระดาษที่ชัดเจน เผย แม้ตนเองมีชื่อ แต่ก็ไม่กังวลใจ ยืนยันไม่มีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล
นอกจากนี้ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ได้โชว์วิสัยทัศน์ ชู ภารกิจ 3 ป. ประสิทธิภาพ โปร่งใส ประชาชน ด้วย
ก่อนหน้านั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เปิดเผยให้เห็นถึงเบื้องหลังการที่พรรคก้าวไกลต้องการได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้พรรคเพื่อไทยจะยังไม่ยินยอม โดยหากถึงที่สุดแล้วพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ประเทศไทยจะวุ่นวายแน่นอน เพราะว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพูดชัดเจนแล้วว่าจะผลักดันการแก้ไข หรือการยกเลิก มาตรา 112 ซึ่งหมายถึงการเดินทางไปสู่การไม่มีสถาบันกษัตริย์ในที่สุด
ทั้งนี้ เพราะประธานสภาฯ จะเป็นคนพิจารณาวาระต่าง ๆ ที่ ส.ส.ยื่นเข้าสภาฯ เมื่อ ส.ส. ยื่นเข้าสภาฯ แล้ว ถ้ามีวาระในการแก้ไข 112 ถ้าเป็นประธานสภาฯ ของพรรคก้าวไกล ก็จะให้เอาเข้าพิจารณา การพิจารณาวาระนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ผ่านในที่สุด แต่กว่าจะถึงวันที่ไม่ผ่าน คนชั่วๆ ทั้งหลายก็จะขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ของสถาบันกษัตริย์ ซึ่ง 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่จริง เอามาโจมตี เอามากล่าวหา นี่คือเวทีที่เปิดและไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะมันเป็น ส.ส. ย่อมได้รับการคุ้มครอง
โดยนายสนธิ ได้กล่าวไว้ว่า “อันตรายไหมท่านผู้ชม และนี่คือเป้าจริง ๆ ของพรรคก้าวไกล เป้านี้ คนที่นำหน้าเอาเป้านี้เข้ามาก็คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนอยู่เบื้องหลังก็คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล ช่อ-พรรณิการ์ วานิช
“และที่น่าเสียใจมากๆ สำหรับพรรคเพื่อไทย มีคนพรรคเพื่อไทยบางคน ซ้ายจัด แอบแฝงอยู่ แอบจับมือกับพรรคก้าวไกล เพื่อจะผลักดันให้พรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งประธานสภาฯ คนพวกนี้อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย ถ้าท่านอยู่ในวงการท่านก็พอจะรู้ว่ามีใครบ้าง คนพวกนี้เป็นคนที่ไม่เอาสถาบันกษัตริย์มาตั้งนมตั้งนานแล้ว เป็นเพียงแต่ว่าซ่อนเร้นตัวเองได้เก่ง แต่พวกผมรู้หมดเลยว่ามีใครบ้าง”
พรรคก้าวไกลได้เสนอนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก สมัย 2 เป็นแคนดิเดตประธานสภาฯ ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น สนับสนุนให้นายสุชาติ ตันเจริญ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายสุชาติ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดฉะเชิงเทรา 8 สมัย ล่าสุด เป็นสมัยที่ 9 ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
นายสนธิ กล่าวอีกด้วยว่า การปล่อยตำแหน่งประธานสภาฯ ให้พรรคก้าวไกล ซึ่งคือนายปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นการเปิดประตูสู่การล้มล้างสถาบัน เพื่อส่งคนเข้าไปผลักดันร่างกฎหมายแก้ไข 112 ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ แต่ก็ได้ถือโอกาสดิสเครดิจสถาบันไปเลย
สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้มีปากเสียงออกมาโต้เถียงเรื่องนี้ ท่านนั่งเฉยๆ คนที่รอบตัวท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้สถาบันกษัตริย์ต้องพึ่งพรรคเพื่อไทย ถ้าเอานายสุชาติ ตันเจริญ ขึ้นมา
“ทำไมผมถึงสนับสนุนคุณสุชาติ ตันเจริญ ? เพราะคุณชวน หลีกภัย เป็นคนพูดเองว่า ในยุคสมัยที่คุณชวน เป็นประธาน ได้มอบหมายให้คุณสุชาติ ซึ่งเป็นรองประธานฯ คนที่ 1 รับผิดชอบร่างพระราชบัญญัติที่เสนอเข้ามายังสภาฯ ทุกฉบับ โดยร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอ เคยเสนอยกเลิกมาตรา 112 ถ้ายื่นเข้ามาจะมีคุณสุชาติ เป็นคนดูแล ซึ่งคุณสุชาติ เคยรับวาระญัตตินี้มา แล้วคุณสุชาติ บอกว่า นี่คือการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 1 ก็เลยไม่รับเข้ามาเป็นญัตติ เข้ามาพิจารณา ก็จบไปแล้ว
“แต่ถ้าประธานสภาฯ เป็นคนของพรรคก้าวไกล แน่นอนที่สุด ก็บรรจุเข้าไปในวาระทันทีเลย ก็เลยเป็นไปตามกระบวนการของการพิจารณาญัตติร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร” นายสนธิ กล่าว
นายปดิพัทธ์ เป็น ส.ส. 2 สมัย อายุ 42 ปี ลงครั้งแรก็ชนะ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส. 3 สมัย ตอนนี้นายปดิพัทธ์เป็นถึงกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล
“คุณปดิพัทธ์ ไม่ใช่ธรรมดา นายปดิพัทธ์ ชูสามนิ้ว แล้วเอามือแปะที่ตา ก็เห็นด้วยกับพวกสามนิ้ว เอาคนที่หมกมุ่น ฝักใฝ่ในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์มาเป็นประธานสภาฯ ได้อย่างไร ถ้าได้ แล้วเป็นอย่างนั้น ก็แสดงความเจตนารมณ์ของพรรคก้าวไกลคือการล้มล้างสถาบันกษัตริย์