ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการประชุมรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ซึ่งมีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้เปิดให้มีการอภิปรายคุณสมบัติอย่างกว้างขวาง ก่อนลงมติโหวตเลือกนายกฯ ที่มีการเสนอชื่อ นายพิธา เพียง 1 รายชื่อ
การพิจารณาครั้งนี้ ใช้วิธีลงคะแนนโดยเปิดเผยด้วยวิธีขานชื่อเป็นรายบุคคล สำหรับผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จะต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา หรือ 376 เสียง
ซึ่งสภาใช้เวลาโหวตประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ ผลการลงคะแนนเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากโหวตเสร็จ ประธานรัฐสภาได้มีการเปิดให้ ส.ส. และ ส.ว.บางรายขอแก้ไขผลโหวต รวมทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่พลาดการโหวตรอบแรกได้โหวตออกเสียง
กระทั่งเวลา 18.25 น. (ของวันที่ 13 กรกฎาคม2566) ประธานรัฐสภา ได้ประกาสผลการลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีว่า สมาชิกรัฐสภาลงคะแนน
– เห็นชอบนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี 324 เสียง
– ไม่ชอบ 182 เสียง
– งดออกเสียง 199 เสียง เท่ากับว่ามติที่ประชุมรัฐสภา “ไม่เห็นชอบ” ให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามจากผลการโหวตดังกล่าว สรุปได้ว่า นายพิธายังขาดอีก 52 เสียงที่จะโหวตสนับสนุนเพื่อให้เสียงถึง 376 เสียง ซึ่งถือได้ว่าเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา
ด้าน นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวท็อปนิวส์ ว่าแม้จะมีการโหวตรอบสองในวันที่ 19 กรกฎาคม นี้ ก็เชื่อว่า มติที่ประชุมรัฐสภา “ไม่เห็นชอบ” ให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
ตนในฐานะสมาชิกวุฒิสภา จะปิดสวิทต์ตัวเอง โดยการงดออกเสียง รวมทั้งยืนยันจุดยืนเดิมคือ ไม่โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เด็ดขาด
เพราะตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่เคยได้ร่วมงานกันในสภา คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า นายพิธา และพรรคอนาคตใหม่ จนกระทั่งมาถึงพรรคก้าวไกล มีเจตนาอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์
วันนี้ชัดเสียยิ่งกว่าชัด ว่าพรรคก้าวไกล ไม่ได้ต้องการจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ มั่นคงสถาพร ดังปากที่ได้ว่าไว้ และไม่เชื่อว่านายพิธา จะมีความจงรักภักดีต่อสถานบันพระมหากษัตริย์