วันที่ 20 ก.ค. 66 นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Pat Hemasuk” โดยระบุว่า ผมไม่ได้เขียนอะไรยาวๆ มานานแล้วเพราะไม่ค่อยจะมีเวลา พอมีเวลาก็ไม่มีอะไรน่าสนใจจะเขียน แต่วันนี้มีเรื่องที่อยากจะเล่าถึงประเด็นการเมืองในวันนี้ ที่พอจะดัดแปลงมาใช้กับชีวิตประจำวันของคนทั่วไปได้ไม่มากก็น้อย ผมอยากมองให้เป็นแบบอย่างทั้งที่ควรทำและไม่ควรทำ จะบอกว่าวันนี้มี Dos and don’ts หลายเรื่องที่ทำแล้วดี และทำแล้วอิ๊บอ๋ายเอาง่ายๆ มาพูดให้เห็นภาพ
วันนี้น่าจะมีนายกฯ ชื่อพิธาไปแล้วแบบไม่ยากอะไรเลย ส่วนเรื่องหุ้นสื่ออะไรนั่นทีมกฎหมายเอาไว้ค่อยคิดหาทางแก้กันภายหลังก็ได้ เพราะบกพร่องโดยสุจริตทั้งที่ยอมรับว่าผิดจริงก็เคยเห็นกันมาแล้ว ประเด็นหลักที่วันนี้ไม่มีนายกฯ ชื่อพิธาก็คือการไม่ยอมถอยเรื่อง ม.112 ทั้งที่มีเวลาตั้งเจ็ดวันที่จะทำแล้วล็อบบี้ สว.และ สส. ให้ผ่าน
แต่สิ่งที่เห็นคือตลอดเจ็ดวันคือ ดันไปชวน สว. และ สส. ทะเลาะเพิ่มขึ้นอีก แทนที่จะประสานสิบทิศเพื่อหาแนวร่วมโหวตครั้งที่สอง
ถ้าถอยเพียงเรื่องเดียวก็สามารถทำให้นโยบายเป็นร้อยที่หาเสียงเอาไว้เป็นจริงได้ แม้จะทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตาม ทั้งปฎิรูปกองทัพ ตำรวจ ค่าแรง เงินคนแก่และเด็ก การศึกษา ฯลฯ พวกคุณมีโอกาสแล้วแต่ปล่อยให้หลุดมือไปเพราะเรื่องบ้าๆ ที่จะยืนยันที่จะแก้ ม.112 ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับปากท้องหรือการพัฒนาประเทศเลยแม้แต่น้อย พวกคุณมีเวลาอีกนานที่จะ “ก้าวเล็กๆ” ไม่ต้อง “ก้าวไกล” แบบวันเดียวจบเหมือนนัดเพื่อนไปชกกันหลังโรงเรียนก็ได้ เรื่อง ม.112 ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนได้เมื่อสังคมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ไม่ต่างกับเรื่องที่ไปดูหนังแล้วไม่ต้องยืนเวลาเพลงสรรเสริญพระบารมีที่พวกคุณปั่นจนติดกระแสของคนอีกวัยหนึ่ง ที่มีคนไม่ยืนกันเกือบทุกรอบ แม้จะไม่กี่คนเมื่อเทียบกับคนที่ยืนทั้งโรงหนังก็ตาม นั่นคือความสำเร็จในระดับหนึ่งของพวกคุณ
สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว ไม่ต้องรอให้คนจากภายนอกมาปรับเปลี่ยนให้หรอก พระมหากษัตริย์ทรงเข้าพระทัยดีในเรื่องนี้มานับร้อยปี ฐานะของ “เจ้า” ที่ประชาชนเข้าไม่ถึง กลายมาเป็นลงไปคลุกคลีกับประชาชนของพระองค์แบบที่ไม่มีมาก่อนในการประพาสต้น จนทรงเป็นที่รักของประชาชน คำว่าพระปิยะมหาราช แปลว่ามหาราชที่เป็นที่รักของประชาชน นั่นคือการปรับเปลี่ยนด้วยตัวของสถาบันพระมหากษัตริย์เองให้เป็นบุคคลธรรมดาที่ชาวบ้านหรือใครก็สามารถเป็นพระสหายได้ ถือไม้ตะพดอันเดียวแสดงให้เห็นฐานะของพระสหายก็เดินเข้าประตูวังได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องมีแรงกดดันอะไรจากภายนอกให้ทรงต้องเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
และหลังจากนั้นอีกไม่ถึงร้อยปีก็มีพระมหากษัตริย์ที่ปรับเปลี่ยนจาก “เจ้า” กลายเป็นพ่อของลูกทุกคน เป็นพ่อฟ้าหลวงของคนไทยที่ราบสูง เป็นพ่อของคนทุกภาคในประเทศ ส่วนแม่ของพ่อก็กลายเป็นสมเด็จย่า ทรงเข้าไปอยู่ในใจของประชาชนจนนับญาติกันไปแล้วทั้งประเทศ แม้กระทั่งเสด็จเข้ามัสยิดก็ได้รับการทูลเชิญให้ประทับบนแท่นมิมบัรภายในมัสยิด ทรงมีพระสหายที่เป็นคนธรรมดามากมายที่คนไทยส่วนมากไม่รู้จักกัน ที่รู้จักมากคือพระสหายแห่งสายบุรีที่นุ่งโสร่งผืนเดียวก็เข้าเฝ้าได้