วันนี้ (3 ส.ค.66 ) รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ถึงมุมมองรัฐบาลใหม่ อะไรที่ต้องจะต้องทำ ตามลำดับในการจัดการปัญหาของประเทศ ว่า ภายใต้กรอบของรัฐบาลผสมที่น่าจะเกิดขึ้นขณะนี้ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยคาดว่า จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยให้ตั้งสมมุติฐาน พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะเห็นแนวนโยบาย ที่จะเปลี่ยนมิติของระบบเศรษฐกิจ เพราะหากดูจากนโยบายการหาเสียงพรรคเพื่อไทย จะเน้นอยู่ 3 รูปแบบ คือ
1. เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเศรษฐกิจภาคบริการ
2. เน้นการกระตุ้นผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี และเศรษฐกิจฐานราก
3. เพื่อไทย จะเข้าไปสู่มิติการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว คือ การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการใช้ดิจิทัล หรือ ดิจิทัลเทคโนโลยีให้มากที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณานโยบายของพรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของเป้าหมายวิธีการในการพัฒนาประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจจะมีไม่มาก โดยเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจนคือ หนึ่ง ต้องการให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน ในอีก 4 ปีข้างหน้า ขณะที่เป้าหมายต่อมา คือการทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาทต่อปี พร้อมตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางของฟินเทค และเป็นดิจิทัลมันนี่ ซึ่งเป็นแนวนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทย
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนและนำมาใช้คือ เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทต่อคน ใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร สำหรับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ซึ่งเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง และเป็นนโยบายหลัก หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และถูกนำมาใช้ โดยแนวคิดนี้อาจจะมีการพูดคุยและถกเถียงในเรื่องของอายุ ผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ จะเป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่าหรือไม่กับวงเงิน 5 แสนล้านบาท และเหตุใดจึงไม่ให้เงินกับบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปที่มีความสามารถทางการเงินน้อยหรือมีรายได้น้อย และไม่จำเป็นต้องโอนเงินให้แก่บุคคลที่มีรายได้มากอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยจะต้องดูว่านโยบายนี้ ควรจะใช้เงินถึง 5 แสนล้านบาทหรือไม่ เพราะเป็นเงินโอนที่ทำให้เกิดการบริโภคเพียงแค่ครั้งเดียว แต่อาจจะนำเงินส่วนนี้ให้แก่คนบางกลุ่ม ซึ่งจะใช้เม็ดเงินเพียง 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น และนำส่วนที่เหลืออีก 3 แสนล้านบาท ไปลงทุนเพื่อสร้างอาชีพในระยะยาวจะดีกว่า และเป็นนโยบายหลักที่พรรคเพื่อไทยจะเร่งดำเนินการ