“ดร.สมชาย” ห่วงเงินดิจิทัลเพื่อไทย ก่อหนี้หนักกระทบเสถียรภาพการคลังปท.

"ดร.สมชาย" ชี้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ใช้งบสูง ต้องดูภาพรวมกับนโยบายอื่นๆ ไม่สร้างปัญหาเสถียรภาพทางการคลัง มองช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแท้จริงได้ไม่มากนัก ห่วงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อคน เงินเดือนปริญญาตรี 2.5 หมื่นบาท เพิ่มต้นทุนผู้ประกอบการ กระทบความสามารถแข่งขัน แนะแก้เรื่องพลังงานต้องทำตรงจุด อย่าเทกระจาด

สืบเนื่องจากที่ผ่านมา แกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย ได้เปิดนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน ออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยกับ TOPNEWS ถึงมุมมองต่อหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจของเพื่อไทยอย่างเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ว่า เงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท ระยะเวลา 6 เดือน ใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร สำหรับบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าจะมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อเกิดขึ้นนั้น ตนเองไม่ได้กังวลในเรื่องนี้เมื่อเทียบกับช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่รัฐบาลได้มีการใช้พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ถึงสองครั้ง ซึ่งสูงกว่าวงเงินนี้

แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ ลักษณะของเงินดิจิทัล 10,000 บาท เมื่อนำมาคำนวณกับจำนวนประชากร ประมาณ 50 ล้านคน จะใช้วงเงินอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่เยอะ เมื่อนำมาเทียบกับงบประมาณที่มีอยู่ 3 ล้านล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นงบลงทุน 700,000 ล้านบาท หรือ 20% / งบประจำ 2.3 ล้านล้านบาท หรือ 77% โดยวงเงินดิจิทัล 500,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงบลงทุนที่ 700,000 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนถึง 70-80% ของวงเงินงบลงทุน

 

 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้ระบุที่มาของนโยบายเงินดิจิทัล ซึ่งจะใช้งบประมาณราว 5.6 แสนล้านบาท ว่าจะมาจากการบริหารระบบงบประมาณและระบบภาษี ได้แก่
1.ประมาณการรายได้ของรัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท
2.ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 100,000 ล้านบาท
3.การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท
4.การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท

รศ.ดร.สมชาย มองว่า รัฐบาลจะนำเงินงบประมาณจำนวนมากดังกล่าวมาได้เช่นไร ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอาจจะดำเนินการได้ คือ การก่อหนี้ ซึ่งเมื่อมีการก่อหนี้ขึ้นมาก็จะเห็นถึงข้อจำกัด คือ งบประมาณของไทยที่มีข้อจำกัด ในเรื่องของงบลงทุนที่อยู่ระดับต่ำมาก ทำให้วงเงินนโบายเงินดิจิทัล จะไปกินสัดส่วนของงบประมาณ และหากรัฐบาลจะมีการกู้ยืม จะพบว่า ระดับหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับที่สูงแล้วที่ประมาณ 62% (ณ มิ.ย.66 อยู่ที่ 61.15% ของจีดีพี ) แม้จะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ 70% ของจีดีพี ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมชาย ย้ำว่า สิ่งที่จะต้องมองของนโยบายนี้ คือการไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของนโยบายอื่นๆ ของพรรคเพื่อไทย รวมถึงนโยบายของพรรคร่วม ทั้งการพักหนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณแทบทั้งสิ้น ดังนั้น หากดูนโยบายอื่นๆ ร่วมด้วยก็จะเกิดความหนักใจขึ้นมาว่า หากรัฐบาลบริหารงานจัดการไม่ดีจะเกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพได้ โดยรัฐบาลจะต้องตอบคำถามเรื่องที่มาของงบประมาณ ให้ชัดเจน และไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพทางการคลัง

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนความคุ้มค่าของเม็ดเงินนั้น รศ.ดร.สมชาย มองว่า จากนโยบายนี้ จะมีการกระตุ้นที่แท้จริงไม่มากนัก เพียงแต่เงื่อนเวลาการใช้จ่าย 6 เดือน ในรัศมี 4 กิโลเมตร เมื่อมีเม็ดเงินออกมา การกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจากจีดีพีไทย อยู่ที่ 17-18 ล้านบาท ดังนั้น ในงบประมาณรวม 3 ล้านล้านบาท วงเงินประมาณ 5 แสนล้านบาทจากนโยบายนี้จึงคิดเป็นเพียง 3-4% ของจีดีพี ทั้งนี้ สิ่งที่จะต้องจับตาในอนาคตคือ ปัญหาเรื่องการคลัง ทั้งหนี้สาธารณะ และการขาดดุลงบประมาณ ที่ปกติไม่ควร 3%

จากกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่านโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะเป็นการนำเงินงบประมาณไปใช้ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายนั้น รศ.ดร.สมชาย กล่าว ก็คงจะต้องจับตาดู ส่วนจะตรงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ด้วยข้อจำกัด รัศมี 4 กิโลเมตร อาจจะทำให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถใช้สิทธิเงินดิจิทัลได้นั้น นโยบายนี้ออกมาเพื่อเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากกว่าเน้นตัวบุคคล พร้อมมองว่า หากรัฐบาลสามารถเดินหน้าจัดตั้งได้เร็วจะทำให้จีดีพีไทย ขยายตัวได้ ถึง 3.4% จากเดิมที่มองว่า จะขยายตัวได้ 3%

 

 

ส่วนนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 2.5 หมื่นบาท ภายในปี 2570 จะส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุน และการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ หรือไม่ นั้น รศ.ดร.สมชาย ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่กระทบกับนักลงทุนไทยและ นักลงทุนต่างชาติที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาแรงงานทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ไปไม่ไหว หรือต่างชาติอาจย้ายฐานการลงทุน

ในส่วนของเงินทุนใหม่นั้น นักลงทุนต่างชาติได้หยุดที่จะเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว เพราะค่าแรงสูงและคุณภาพแรงงานสู้เวียดนามไม่ได้ ในระยะหลังนักลงทุนต่างชาติจึงหันไปลงทุนเวียดนามเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีการลงทุนบางส่วนอยู่ใน EEC ซึ่งใช้แรงงานที่มีฝีมือ ทั้งนี้ การขึ้นค่าแรงนั้น จะต้องพิจารณาในเรื่องของเงินเฟ้อ และเพิ่มได้หากแรงงานมีทักษะฝีมือ ซึ่งประเทศไทยได้พยายามส่งเสริมการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน แต่ยังไปไม่ถึง

 

รศ.ดร.สมชาย มองนโยบายพรรคเพื่อไทย ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มีแนวทางในการปรับลดราคาพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้าและก๊าช /รวมถึงพักหนี้เกษตรกร 3 ปีทั้งต้น ทั้งดอก และผลักดันการพักชำระหนี้ SME ที่ประสบภัยโควิด 1 ปี ว่า เป็นนโยบายที่ดี เพราะเศรษฐกิจของไทยกำลังฟื้นตัวแต่เป็นการฟื้นตัวที่ต่ำ 3.5% และต่ำสุดในอาเซียนที่เฉลี่ย 4.5-4.6% อีกทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นแบบขาเขย่ง ทำให้มองว่าภายใต้สมมุติฐานนี้รวมถึงราคาพลังงานและอาหารที่เริ่มสูงขึ้น ดังนั้น แนวนโยบายที่นำมาช่วยเหลือทางด้านพลังงาน ถือว่าดี แต่ควรเป็นนโยบายที่จำกัดระยะเวลาและเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย ที่มีความเดือดร้อนไม่ใช่การเทกระจาด

 

 

 

ทั้งนี้ หากจะแก้ปัญหาในระยะยาวในเรื่องของราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง รัฐบาลจะต้องมีการปรับโครงสร้าง ในเรื่องราคาพลังงาน โดยจะปรับเช่นไรให้เป็นการลดต้นทุนซึ่งจะต้องมีการพิจารณาทั้งระบบโครงสร้าง รวมถึงการปรับมาใช้พลังงานทดแทน

ส่วนการพักหนี้เกษตรกรยอมรับว่า ได้มีการดำเนินการมาทุกรัฐบาล แต่เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว ช่วยให้เกษตรกรเดือดร้อนน้อยลง แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องความยากจน ซึ่งภาคเกษตรของไทยถือเป็นภาคเกษตรที่มีคุณภาพ แต่เป็นการดำเนินการที่ไม่ครบวงจรและไม่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทางด้านนี้ โดยรัฐบาลจะต้องวางยุทธศาสตร์เชิงโครงสร้างตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมถึงนำเอาเรื่องเทคโนโลยีมาใช้อย่างจริงจัง

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ระทึกกลางดึก ไฟไหม้ "ร้านกาแฟ" เผาวอดทั้งหลัง เสียหายกว่า 7 แสนบาท
"อุตุฯ" เผย "เหนือ-อีสาน-กลาง" อากาศเย็นตอนเช้า เตือนใต้ยังรับมือฝนตก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น