H&M ผู้ค้าปลีกสินค้าแฟชั่นรายใหญ่อันดับสองของโลก เตรียมยุติการผลิตในเมียนมา หลังมีรายงานละเมิดสิทธิแรงงานต่อเนื่อง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า H&M แบรนด์รีเทลล์ค้าปลีกสินค้าแฟชั่น รายใหญ่อันดับสองของโลก ตัดสินใจยุติการผลิตในเมียนมา เนื่องจากมีรายงานการละเมิดสิทธิแรงงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเพิ่มขึ้น โดยในอีเมลถึงรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดีระบุว่า บริษัทได้ตัดสินใจยุติการดำเนินงานในเมียนมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งบริษัทได้ติดตามสถานการณ์ล่าสุดในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และเห็นถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ในการดำเนินงานตามมาตรฐานและข้อกำหนด
H&M กล่าวเมื่อวันพุธว่า กำลังสืบสวน 20 กรณี เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงาน ในโรงงานผลิตเสื้อผ้าในเมียนมาที่รับจ้างผลิตให้บริษัท ซึ่งกลุ่มเอ็นจีโอในอังกฤษรายงานว่า กรณีการละเมิดสิทธิคนงาน รวมถึงการโกงค่าจ้าง และถูกบังคับให้ทำงานล่วงเวลาได้พุ่งสูงขึ้น นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารของกองทัพในเดือนกุมภาพันธ์ 2564
พร้อมระบุว่า การย้ายฐานการผลิตออกในครั้งนี้ จะดำเนินตามกรอบการดำเนินงานที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย อินดัสทรีออล (IndustriALL) สหภาพแรงงานระดับโลกที่รณรงค์ให้แบรนด์ต่างๆ เลิกทำธุรกิจในเมียนมา
H&M กลายเป็นแบรนด์ล่าสุด ที่ยุติการดำเนินงานในเมียนมา ตามหลัง Zara, Primark, Marks & Spencer และแบรนด์อื่นๆ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แนวโน้มดังกล่าว จะส่งผลเสียต่อแรงงานสตรีหลายพันคน ซึ่งอุตสาหกรรมตัดเย็บ ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่หล่อเลี้ยงแรงงานเมียนมา โดยแรงงานสตรีทำงานอยู่ในโรงงานรับจ้างผลิตเสื้อผ้าและรองเท้ากว่า 500 แห่ง
นอกจากธุรกิจเสื้อผ้าแล้ว บริษัทขนาดใหญ่ในภาคส่วนอื่นๆ ก็ถอนตัวออกจากเมียนมาเช่นกัน โดยบริษัทน้ำมันรายใหญ่อย่าง TotalEnergies และ Chevron ประกาศถอนตัวเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว