ความคุกรุ่นจากศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 66 ที่ผ่านมาก่อให้ก่อให้ปรากฎการณ์ศึกส้ม-แดงระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่ห่ำหั่นกันมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายด้วยคะแนนเลือกตั้งที่ใกล้เคียงชนิดหายใจรดต้อคอ โดยก้าวไกลคว้าเก้าอี้ สส.เป็นอันดับหนึ่งจำนวน 151 ที่นั่ง ขณะที่เพื่อไทยตามมาติด ๆ ได้ สส.จำนวน 141 เก้าอี้
ศึกเลือกตั้งครั้งนั้นสอนบทเรียนให้กับขาใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยที่เคยกวาด สส.เป็นอับดับหนึ่งทุกครั้งในสนามเลือกตั้งใหญ่ต้องเหลียวหลังกลับมองพรรคก้าวไกลด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรอีกต่อไป เพราะก้าวไกลสามารถชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในหลายเขตที่เพื่อไทยเคยเป็นแชมป์เก่าในหลายจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครพรรคสีส้มกวาดเรียบ 32 เขต โดยมีเพื่อไทยคว้ามาได้เพียงแค่เขตเดียว
ตัวอย่างเช่นเขตเลือกตั้งที่ 28 จอมทอง บางบอน และหนองแขม เจ้าของพื้นที่เดิมอย่าง “วัน อยู่บำรุง” จากพรรคเพื่อไทย เสียที่นั่งในสภาฯ ให้กับผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคก้าวไกล “รักชนก ศรีนอก”
ขณะที่ จ.ชลบุรี ตระกูล “คุณปลื้ม” ที่ย้ายกลับพรรคเพื่อไทยยังแพ้ให้กับกระแสพรรคก้าวไกลที่คว้าที่นั่งใน จ.ชลบุรีได้ถึง 7 ที่นั่งจาก 10 ที่นั่ง ส่วนภาคเหนือที่พรรคเพื่อไทยหวังจะแลนด์สไลด์ก็ไม่เป็นไปอย่างใจหวัง โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และลำพูน และนี่คือศึกนัดแรกที่เพื่อไทยเพียงพล่ำชนิดพลิกตำราสู้ไม่ทัน
ผลจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาทำให้พลังสีส้มแผ่กว้างไปทั่ว โดยเฉพาะ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ไม่ว่าจะไปปรากฏตัวที่ไหนจะมีมวลชนหนุ่มสาวชาวสีส้มต้อนรับอย่างล้นหลาม และพร้อมจะปกป้องอย่างลืมเป็นลืมตายจนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ด้อมส้ม”
อย่างไรก็ตามผลของการเลือกตั้งที่ผ่านมาก้าวไกลมาเป็นอันดับหนึ่งจึงได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่เมื่อไม่อาจรวม 376 เสียงให้ผ่านด่าน ส.ว.ได้ จึงต้องส่งไม้ต่อให้เพื่อไทย โดยในช่วงการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่าง 2 พรรค ส่งผลให้มวลชนเสื้อแดงกับด้อมส้มเปิดสงครามอย่างดุเดือด โดยเฉพาะชาวด้อมส้มกลุ่มทะลุวังบุกพรรคเพื่อไทยขวางการเจรจาการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วด้วยการปาแป้งไล่จนวงแตก ทำให้พรรคเพื่อไทยต้อง ยกเลิกแถลงข่าวกับพรรคพลังประชารัฐ ขณะที่บริวณข้างนอกพรรคได้มีการเผาหุ่นเป็นสัญลักษณ์ว่า “อย่าหักหลังประชาชน”