นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ระบุ กลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป และบริษัทในเครือ ได้ปรับแผนธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะครอบคลุมทั้งทรานสปอร์ต ภายใต้ 3 M คือ MOVE MIX และ MATCH จึงเป็นที่มาของการเข้ามาลงทุนในบมจ.เจ มาร์ท (JMART) และบมจ.ซิงเกอร์ (ประเทศไทย) (SINGER) ผ่านบริษัทในเครือของบีทีเอส กรุ๊ป คือ บมจ.วีจีไอ (VGI) และ บมจ.ยู ซิตี้ (U)
ทั้งนี้ การเข้าไปร่วมลงทุนดังกล่าว ถือเป็นการขยายฐานให้กับวีจีไอ และยู ซิตี้ โดยเฉพาะยู ซิตี้ ที่จะมีการทรานฟอร์มครั้งใหญ่ โดยแต่เดิมยู ซิตี้ จะลงทุนทำอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม 100% โดยสถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่คำตอบของผู้ถือหุ้น เพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การทำธุรกิจโรงแรมใน 3-5 ปี ไม่น่าจะมีกำไร ดังนั้นทางยู ซิตี้ จึงได้มีการขายโรงแรมในยุโรปที่ถืออยู่ ซึ่งได้เงินกลับมาลงทุนได้หลายพันล้านบาท เพื่อนำเงินมาลงทุนในธุรกิจไฟแนนซ์ และเซอร์วิส ผ่านเจมาร์คและซิงเกอร์ และทางยู ซิตี้ จะทยอยขายอสังหาฯและโรงแรมที่ถือในมือที่คาดว่าจะได้เงินกลับมาหลายหมื่นล้านบาท เพื่อปรับพอร์ตลงทุนยู ซิตี้ ใหม่ และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อยู ซิตี้ ตามพอร์ตธุรกิจที่เปลี่ยนไป
รายงานแจ้งว่า การลงทุนของกลุ่มบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป ได้แก่ 1. VGI เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART 15% มูลค่า 6,257 ล้านบาท 2. U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART 9.9% มูลค่า 4,171 ล้านบาท และ 3. U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน SINGER 24.9% มูลค่า 7,155 ล้านบาท โดยคาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสิ้นไตรมาส 4 ปีนี้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ระบุ การเข้ามาลงทุนของบีทีเอส กรุ๊ป ถือเป็นการร่วมทุนใหญ่สุดของเจมาร์ท ถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าขนาดของการร่วมทุนครั้งนี้จะมีเม็ดเงินเข้ามาเจมาร์ท สูงถึง 2.5 หมื่นล้านบาท