“อัษฎางค์” อธิบายชัดๆ ชี้เรือดำน้ำจำเป็นป้องไทย ซัดอย่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์-เกมการเมือง

“อัษฎางค์” อธิบายชัดๆ ชี้เรือดำน้ำจำเป็นป้องไทย ซัดอย่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์-เกมการเมือง

วันนี้ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กถึงประเด็นเรือดำน้ำว่า ในสงครามทางเรือ เรือดำน้ำ คือ Force Multiplier การมีเรือดำน้ำ เป็นกำลังทางเรือที่ทรงพลัง ที่สามารถทดแทนเรือผิวน้ำได้หลายเท่าตัว เนื่องจากเรือดำน้ำสามารถยิงเรือผิวน้ำได้โดยไม่รู้ตัวดังนั้นการมีเรือดำน้ำจึงเป็นการป้องปราม ไม่ให้ทั้งเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาได้โดยง่าย เนื่องจากจะต้องใช้ resource เพิ่มขึ้นมากหลายเท่าตัว ด้วยขีดความสามารถในการซ่อนพรางของเรือดำน้ำนี้ จึงทำให้“เรือดำน้ำสามารถล่องหน”ไปได้ทุกที่ เพราะไม่มีใครเห็น เรือดำน้ำอาจจะไปซุ่มโจมตีในพื้นที่ของข้าศึก โดยฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ตัว เช่น สามารถไปวางทุ่นระเบิดที่หน้าท่าเรือของข้าศึก ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษไปก่อวินาศกรรม หรือยังสามารถยิงทำลายที่หมายบนฝั่ง ของฝ่ายตรงข้ามเราได้โดยที่ข้าศึกไม่รู้ตัว ถ้าเรามีเรือดำน้ำ ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องใช้เรือฟริเกต 3-5 ลำ กับอากาศยานปราบเรือดำน้ำมาค้นหาและสู้กับเรือดำน้ำของเรา เพราะ“เรือดำน้ำโดยมากหาเรือดำน้ำด้วยกันไม่เจอ” ถ้าเราไม่มีเรือดำน้ำ ฝ่ายตรงข้ามก็เอาเรือฟริเกตมาลำเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการกับเราได้ง่ายๆ เพราะขีดความสามารถใกล้เคียงกัน ดังนั้นการมีเรือดำน้ำจะเป็นกำลังทางเรือที่ทรงพลัง ทดแทนเรือผิวน้ำในทางสงครามได้หลายเท่า

ข่าวที่น่าสนใจ

นายอัษฎางค์ ระบุอีกว่า ในทางกลับกัน เรือผิวน้ำ ไม่มีศักยภาพการเป็น Force Multiplyer อย่างเรือดำน้ำ Force Multiplier คือการต้องใช้เรือฟริเกต 3-5 ลำ ที่ต้องทำงานร่วมกับอากาศยานตรวจเรือดำน้ำ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำมาทำงานร่วมกัน จึงจะสามารถป้องกัน ต่อต้านหรือปราบเรือดำน้ำได้จริง ซึ่งจะเป็น“การดึงกำลังของฝ่ายตรงข้าม เข้ามาสาละวนกับเรือดำน้ำ“ ”ถ้าเรามีเรือดำน้ำหลายลำปฏิบัติการอยู่ ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว” ตอนนี้เราขาดเรือดำน้ำอยู่ แล้วถ้าไม่เอาเรือดำน้ำลำนี้ แล้วไปต่อเรือฟริเกตทดแทน อีกนานแค่ไหนจึงจะมีจำนวนเรือฟริเกตที่เพียงพอ เพราะเรือฟริเกตหลายลำก็มีอายุทำงานประมาณ 30 ปี ก็ต้องปลดประจำการในเวลาอันใกล้นี้แล้ว อีกทั้งเรือดำน้ำยังสามารถใช้เป็น “Second Strike” ได้ คือ สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ แม้ว่าประเทศตัวเองจะถูกโจมตีไปแล้ว เพราะเรือดำน้ำไปได้ทุกที่ใต้น้ำ หากเรือดำน้ำอยู่รอด ก็สามารถโจมตีประเทศตรงข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรือดำน้ำที่มีขีปนาวุธอยู่ในเรือดำน้ำ

 

ความเป็นกำลังทางยุทธศาสตร์ของเรือดำน้ำ ถ้าเรามีเรือดำน้ำ ฝ่ายตรงข้ามจะต้องมีความยับยั้งชั่งใจ ในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในการที่จะส่งกำลังทางเรือเข้ามา หรือยกเลิกความคิดเลย เพราะกำลังเรือผิวน้ำของเขาจะถูกเรือดำน้ำทำลายได้โดยง่าย แต่ถ้าเราไม่มีเรือดำน้ำ ก็จะเป็นหมูสำหรับเขาได้เลย จะเห็นได้จาก เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ และตะวันตก ไม่กล้ายุ่งกับเกาหลีเหนือ เพราะมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธยุทธศาสตร์ และยังมีเรือดำน้ำที่สามารถยิงขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ได้อีกด้วย ก็ไม่มีใครอยากไปยุ่งสักเท่าไหร่ นี่คือความเป็นกำลังทางยุทธศาสตร์ของเรือดำน้ำ คิดกันดีแล้วหรือยัง คิดถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นใหญ่ หรือคิดถึงแต่ผลประโยชน์และเกมการเมืองของตนเองเท่านั้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เปลือกโลกขยับ “เชียงใหม่” แผ่นดินไหวถี่ยิบ “กูรู” เผยสภาพ “เขื่อนแม่งัดฯ”
"สรรเพชญ" จี้เร่งสอบเหตุตึกสตง.ถล่ม ลั่นคือบทเรียนใช้งบฯแผ่นดิน ต้องคุ้มค่า-ปลอดภัย
"กินเนสก์บุ๊ค" เตรียมบันทึกสถิติโลก ฟ้อนเล็บคุ้มเจ้าหลวงอัตลักษณ์เชียงใหม่ ฉลองสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี
"อนุทิน" เปิดกระทรวงมหาดไทย ให้ขรก.อวยพรสงกรานต์ ขอบคุณ ทุกคนทำงานเต็มที่
กรมการค้าต่างประเทศ สั่งคุมเข้มสินค้าเฝ้าระวัง 49 รายการ เสี่ยงสูงส่งออกสหรัฐฯ
“เอกนัฏ” ปรับแผน สั่งทีมสุดซอย นำหมายศาลค้น “ซิน เคอ หยวน” เก็บคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หาข้อมูล
"ถ.มิตรภาพ" โคราช รถเริ่มมาก ปชช.ทยอยเดินทางกลับอีสาน
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) หญิงชาติพันธ์ุไทเกล้า'มวยผมนกยูง'รับเทศกาลสาดน้ำในยูนนาน
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) สุดล้ำ! จีนสร้าง 'อาคารสองชั้น' ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
สงกรานต์ปลอดภัย รัฐบาลคุมเข้มทางน้ำ! กรมเจ้าท่าขอความร่วมมือ “งดดื่มแอลกอฮอล์” บนเรือ ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาล

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น