จากกรณี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้แถลงผลการจับกุม นายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี มีอาชีพเป็นนายหน้าประกันภัยโดยมีพฤติกรรมลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ ส่งผลทำให้ลูกค้าอาจได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ในฐานะหน่วยงานของรัฐมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน เห็นว่ากระทำของบุคคลดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการนำระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย ร่วมกับ สายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. บูรณาการทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของผู้ถูกจับกุมรายนี้ทันที ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏพบว่า นายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) เป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ซึ่งกระทำความผิดจริง โดยนายพศิน ได้รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกการตรวจค้น/ตรวจยึด/จับกุม ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 โดยอาศัยประโยชน์จากการที่ตนเองเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัยและมีการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย กล่าวคือ การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล อันประกอบด้วย ชื่อ-สกุล เลขประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ ของผู้เอาประกันภัย เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับบริษัทประกันชีวิตที่เป็นต้นสังกัด ด้วยการลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปแลกเปลี่ยนกับบุคคลภายนอกเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบข้อเท็จเพิ่มเติมพบว่าข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการเสนอขายประกันภัยเพียงบางส่วน และบางส่วนนายพศิน ได้หามาจากตลาดมืดเพื่อประสงค์เอามาใช้ในการเสนอขายประกันภัยเพื่อประโยชน์ของตนเองและได้นำข้อมูลมาขายให้แก่กลุ่มมิจฉาชีพ และจากการสอบข้อเท็จจริงจากบริษัทประกันภัยพบว่าตั้งแต่ นายพศิน เป็นตัวแทนของบริษัทถึงปัจจุบันได้มีการเสนอขายประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเพียง 11 รายเท่านั้น
คปภ.ลงดาบ ถอนใบอนุญาตตัวแทนประกันฯ หลังเอาข้อมูลบุคคลลูกค้าไปขาย
ข่าวที่น่าสนใจ
การกระทำดังกล่าวของนายพศิน จึงเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนดตามมาตรา 79/1 ในประการที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชน และเป็นการดำเนินงานที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 81/1 (2) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบข้อ 37 แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการออก และเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตและการดำเนินการของตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต และธนาคาร พ.ศ. 2563 และมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ประกอบกับกรณีดังกล่าวเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากหากปล่อยให้ล่าช้าออกไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะได้ตามมาตรา 30 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม “ จึงเห็นสมควรเพิกถอนใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของนายพศิน พร้อมลงประกาศหรือโฆษณาการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตของตัวแทนประกันชีวิตรายนี้ในเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยรายอื่นหรือประชาชนในวงกว้างต่อไป “ โดยผู้ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตรายดังกล่าวจะไม่สามารถกระทำการเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยหรือขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำนักงาน คปภ. จะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดในทุกมิติ ทั้งนี้ หากพบเห็นพฤติกรรมการหลอกลวงด้านประกันภัยให้รีบแจ้งข้อมูลไปยังสำนักงาน คปภ. โดยตรง ผ่านสายด่วน คปภ. 1186
ด้านดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกรณีตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ได้แถลงข่าวจับกุมโบรกเกอร์ของบริษัทประกันภัยหลังลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่ทำประกันภัย และข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ นับล้านรายชื่อไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงนั้น จากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ขอชี้แจงว่า ภาคธุรกิจประกันวินาศภัย และบริษัทประกันวินาศภัยแต่ละแห่งนั้นมีการกำหนดมาตรการเข้มข้น มีระบบในการป้องกันและรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล มีการประกาศนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท (Privacy Notice) ที่เป็นไปตามนโยบายการกำกับดูแลและบริหารจัดการการประมวลผลข้อมูลให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่ระบุไว้โดยหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อให้พนักงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องของบริษัทยึดถือและปฏิบัติตามให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
ดังนั้น การกระทำของนายหน้าหรือโบรกเกอร์ตามที่เป็นข่าวนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่ทำประกันภัยเป็นจำนวนหลายล้านรายออกไปได้โดยง่าย เพราะบริษัทประกันภัยนั้นให้ความสำคัญอย่างสูงสุดกับเรื่องระบบความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และบริษัทประกันภัยยังมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งมีความเข้มงวดและมีอัตราโทษที่รุนแรงอีกด้วย อีกทั้งผู้กระทำความผิดรายนี้เป็นเพียงนายหน้าประเภทบุคคลธรรมดาที่มีการขายประกันให้กับลูกค้าไปเพียง 10 กว่ารายเท่านั้นซึ่งทางสำนักงาน คปภ. ก็ได้มีการเพิกถอนใบอนุญาตฯ ไปแล้ว ทั้งนี้ สมาคมฯ มีการจัดทำแนวทางปฏิบัติของภาคธุรกิจประกันวินาศภัยให้ครอบคลุมทุกด้าน (PDPA Guideline for Non-life Insurance Industry) เพื่อสื่อสารสร้างความเข้าใจให้บริษัทสมาชิกทุกบริษัท ซึ่งแนวปฏิบัติฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจประกันวินาศภัยไทยรวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และช่วยให้ธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทสมาชิกเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวได้อย่างถูกต้องเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและประชาชน เพราะธุรกิจประกันวินาศภัยถือเป็นธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การพิจารณารับประกันภัย การบริหารจัดการค่าสินไหมทดแทนไปจนถึงการประกันภัยต่อ การดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล จึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง