ทั้งนี้ หากงานการดำเนินงานของกลุ่มกิจการร่วมค้าฯ ไม่แล้วเสร็จตามแผนงานที่ได้ระบุไว้ จะต้องมีดำเนินการตามรายละเอียดในการบริหารสัญญา รวมถึงมาตรการที่ผู้รับเหมาได้สิทธิ์ ในเรื่องค่าปรับเป็น 0 แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้ในการบริหารสัญญาได้มีการกำหนดการยกเลิกสัญญาไว้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถวัดได้คือ ในเดือน มิ.ย. 67 และหากความคืบหน้าการดำเนินการไม่เป็นไปตามแผนงาน จะสามารถบอกเลิกสัญญาได้โดยที่ทางผู้รับเหมายอมรับเงื่อนไขตามสัญญาและมาตรการของกรมบัญชีกลาง



นายเกรียงไกร ระบุว่า กรณีที่เอกชนผู้รับจ้างถูกปรับ ค่างานก่อสร้างงานทางทะเลในส่วนของงานพื้นที่ถมทะเล 1 (Key Date 1), พื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date 2) ในโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 จะกระทบต่อแผนดำเนินงานในปัจจุบันหรือไม่นั้น ตามระเบียบของกรมบัญชีกลางให้สิทธิการจ่ายค่าปรับเป็น 0% นับจากวันที่เลยกำหนดของสัญญา ในเดือนพฤษภาคม 2568 ระยะเวลา 422 วัน โดย กทท.ได้กำหนดบทลงโทษชำระค่าปรับแก่ผู้รับจ้างหากส่งมอบพื้นที่ถมทะเลล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด ดังนี้ งานพื้นที่ถมทะเล 1 (Key Date 1) จ่ายค่าปรับ จำนวน 150,000 บาทต่อวัน ,พื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date 2) จ่ายค่าปรับ จำนวน 500,000 บาทต่อวัน และพื้นที่ถมทะเล 3 (Key Date 3) จ่ายค่าปรับ จำนวน 2,500,000 บาทต่อวัน
ส่วนแนวทางการบอกเลิกสัญญาของโครงการฯ มีเงื่อนไขดังนี้ 1.มีผลงานไม่ถึง 25%ของวงเงินตามสัญญา 2.มีผลงานรายเดือนไม่ถึง 50% ของแผนใหม่ และมีผลงานสะสมไม่ถึง 50% ของวงเงินตามสัญญา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.67 เป็นต้นไป 3. มีผลงานสะสมไม่ถึง 65% ของวงเงินตามสัญญาของวงเงินตามสัญญา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขบอกเลิกสัญญากำหนดให้ผู้รับเหมาต้องดำเนินการก่อสร้างถมทะเลคืบหน้า 37.5% เพิ่ม 23.5% จากเดิมในปัจจุบัน ผู้รับเหมาได้ดำเนินการถมทะเลทั้ง 3 ส่วน คืบหน้า 13.26% ล่าช้า 1.87%
นายเกรียงไกร ระบุว่า จากคำยืนยันของผู้รับเหมา เชื่อว่าจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จะเป็นไปตามแผนงาน เนื่องจากผู้รับเหมามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทราบว่าหากไม่สามารถดำเนินการได้ ผู้รับเหมาจะถูกยกเลิกสัญญา รวมถึงจะต้องถูกปรับและถูกลงโทษ ดังนั้น ผู้รับเหมาจึงได้มีการเร่งนำเครื่องจักร แรงงาน บุคคลากรกว่า 2 เท่าตัว และทางด้านเทคนิคต่างๆ เพื่อเร่งรัดการทำงาน จึงทำให้ผู้รับเหมาเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ด้านนางสาวลัลลิฬา จิตร์สม ผู้อำนวยการโครงการร่วมโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเลกิจการร่วมค้า CNNC กล่าวว่า ในส่วนของสัญญาการชำระค่าปรับงานก่อสร้างงานถมทะเลทั้ง 3 ส่วน เบื้องต้นผู้รับเหมาได้ขอใช้สิทธิ์ตามมาตรการของรัฐในช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยยื่นหนังสือถึงผู้ว่าจ้าง เพื่อพิจารณา และปัจจุบันอยู่ระหว่างรอคณะกรรมการ (บอร์ด) กทท. พิจารณาเห็นชอบ และเตรียมทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลางในการพิจารณาการจ่ายค่าปรับเป็น 0% เนื่องจากได้รับผลกระทบในสัญญา ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ผู้รับเหมาถูกจ่ายค่าปรับในส่วนงานถมทะเลทั้ง 3 ส่วน จำนวน 600 ล้านบาท และหากการยื่นหนังสือครั้งนี้ไม่ได้รับการอนุมัติให้ยกเว้นการจ่ายค่าปรับจะทำให้ผู้รับเหมาถูกจ่ายค่าปรับเพิ่มขึ้นตามที่กำหนด ทั้งนี้ บริษัทยืนยันไม่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินแต่อย่างใด ขณะนี้ผู้รับเหมามีบริษัทพาร์ทเนอร์ที่ระดมเงินทุนสามารถนำมาช่วยเสริมสภาพคล่องได้
อย่างไรก็ตาม กิจการร่วมค้าฯ ได้มีแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อเร่งรัดงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลา ทั้งการเพิ่มจำนวนเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพิ่มกำลังแรงงาน บุคลากร กว่าเท่าตัว รวมถึงปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานเพื่อให้การดำเนินงานและการส่งมอบงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และมั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบงานได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ระบุถึงผลการดำเนินงานในรอบ 12 เดือน (ตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566) โดยผลการดำเนินงานด้านการเงินมีรายได้สุทธิ 16,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.14% กำไร 6,954 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.80% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงสุดในประวัติการณ์ 72 ปี รวมทั้งมีการขนส่งรถยนต์ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง รวม 1.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 25%
