นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวท็อปนิวส์ถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งให้มุมมองว่า คดีมหากาพย์นี้ จะมีการต่อสู้กันถึงศาลฎีกาอย่างแน่นอน โดยนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ในฐานะตกเป็นจำเลย คงไม่ยอมอย่างแน่นอน จึงต้องตั้งทีมทนายสู้กลับทุกข้อกล่าวหา ทั้งนี้ ยังมองด้วยว่า ข้อหาที่ลุงพลได้รับถือว่าสมควรแก่เหตุ และคดีนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจน นายวัชรินทร์ กงแก่นท้าว หรือพ่อแบม พยานปากสำคัญ ที่เห็นลุงพลอยู่ในสวนยางในวันที่น้องชมพู่หายตัวไป
การเดินหน้าต่อสู้ของนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล หลายฝ่ายก็ออกมาคาดการณ์ไปในทิศทางต่างๆ ซึ่งทนายเดชา ก็ออกมาฟันธงด้วยว่า คดีลุงพลจะไม่จบลงง่ายๆแน่นอน และยังเชื่อว่า จะสู้กันจนถึงฎีกา ส่วนกรณีที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 เห็นแย้ง ให้ยกฟ้องลุงพลนั้น ยืนยัน ไม่ใช่หมัดเด็ดที่จะใช้ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
ข่าวที่น่าสนใจ
ไม่เพียงเท่านั้น ทนายเดชา ยังได้วิเคราะห์ถึงกรณีที่มีอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 เห็นแย้ง ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพนั้น เห็นว่าภายหลังวันเกิดเหตุจนถึงวันที่พบศพผู้ตาย โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ แม้ผลการตรวจเส้นผม 3 เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมี mtDNA ตรงกับจำเลยที่ 2 แต่การตรวจหา mtDNA นั้น ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่า เป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น เส้นผมดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเป็นของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลยทั้งสองในข้อหานี้
ทนายเดชา มองว่าประเด็นนี้ยังไม่ใช่หมัดเด็ดที่ลุงพล จะใช้ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ต้องไม่ลืมว่าความคิดเห็นของอธิบดีผู้พิพากษาที่เห็นแย้งนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายคณะผู้พิพากษาต้องพิพากษาไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-