เศรษฐา แจงงบฯ 67 อิงยุทธศาสตร์ชาติ ยึดวินัยการเงินการคลัง ลั่นชัดป้องสถาบันฯต้องมั่นคง

เศรษฐา แจงงบฯ 67 อิงยุทธศาสตร์ชาติ ยึดวินัยการเงินการคลัง ลั่นชัดป้องสถาบันฯต้องมั่นคง

วันที่ 3 ม.ค. 67 ที่อาคารรัฐสภา ได้ประชุมสภาเพื่ออภิปราย ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ซึ่งการประชุมวันวันนี้เป็นวันแรก จากทั้งหมด 3 วัน จะใช้รวมเวลา 43 ชั่วโมง แบ่งเป็น เวลาสส.ฝ่ายค้าน 20 ชั่วโมง สส.ฝ่ายรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี 20 ชั่วโมง

จากนั้นนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ปี 2567 ตอนหนึ่งว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 67 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อ สส. เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยรัฐบาลได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ รวมถึงแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ปี 2567 มีวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 2.5 ล้านล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 1.18 แสนล้านบาท รายจ่ายลงทุน 7.17 แสนล้านบาท รายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ 1.18 แสนล้านบาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า งบประมาณรายจ่ายปี 2567 จำแนกตามยุทธศาสตร์ชาติ ดังนี้

-ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 3.9 แสนล้านบาท อาทิ ป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ,ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเป้าหมายเหตุรุนแรงลดลงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับปี 2560, เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความผูกพันที่ดีระหว่างสถาบันหลักและประชาชน

-ยุทธศาสตร์ด้านการแข่งขัน 3.9 แสนล้านบาท อาทิ พัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน ,พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ,สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว สนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ,เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

-ยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรมนุษย์ 5.6 แสนล้านบาท อาทิ การเสริมสร้างศักยภาพการกีฬา ,การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ,พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้

-ยุทธศาสตร์ด้านความเสมอภาค 8.3 แสนล้านบาท อาทิ เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ,พัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ,สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ,กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

-ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม 1.3 แสนล้านบาท อาทิ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจภาคทะเล ,การจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม ,การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ,การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

-ยุทธศาสตร์ด้านบริหารจัดการภาครัฐ 6 แสนล้านบาท อาทิ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ,รัฐบาลดิจิทัล ,พัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ,พัฒนาบริการประชาชนและการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีจำนวน 11.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.1 ของจีดีพี ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฏหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 ปัจจุบันฐานเงินคงคลัง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิน 2.97 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและบริหารรายรับรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีจำนวน 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.74 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า จากการปรับลดเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลงมาเหลือร้อยละ 2.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังสูญเสียความสามารถในการเจริญเติบโต ซึ่งเกิดมาจากปัจจัยทั้งผลกระทบเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 การลงทุนของภาคเอกชนท่าลดลง การสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆที่สูงขึ้น เศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เนื่องมาจากประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบโดยตรง จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะต้องพลิกฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้น การท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยทำให้การท่องเที่ยวเข้าถึงเมืองรองมากขึ้น สร้างงาน สร้างอาชีพในพื้นที่ รัฐบาลจะดึงดูดการท่องเที่ยวด้วยมาตรการต่างๆ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สนับสนุนการใช้อัตลักษณ์ของไทยให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศในระยะยาวอีกด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะวางแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ที่จะเอื้อให้เกิดการลงทุนที่เกี่ยวเนื่อง การคมนาคามในประเทศจะสะดวกสบายมากขึ้น รัฐบาลจะลงทุนอย่างต่อเนื่อง และทำให้ระบบคมนาคมและโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพ กลายเป็นหนึ่งในจุดแข็งของประเทศไทย และรัฐบาลจะพัฒนากองทัพให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับการพัฒนาความมั่นคงในทุกรูปแบบ และให้ตรงกับยุคสมัย ระบบการเกณฑ์ทหารจะต้องเปลี่ยนเป็นแบบสมัครใจ โดยสร้างแรงจูงใจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง การฝึกอาชีพ ทั้งหมดนี้จะทำให้สถาบันทหารมีความเป็นมืออาชีพ มีภาพลักษณ์ที่ดี และที่สำคัญที่สุดคือ ใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น

ด้านการต่างประเทศนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นการดำเนินนโยบายแบบการต่างประเทศที่กินได้ สร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทย เป็นประเทศแนวหน้าในภูมิภาค มีอำนาจต่อรอง และได้รับการยอมรับในสากล มีความร่วมมือที่เป็นยประโยชน์ การดูแลคนไทยในต่างแดน ทำให้ประเทศไทยและคนไทยรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจ ส่วนด้านการเมืองการปกครองนั้น ประชาชนจะได้เห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะแก้ไขจุดด้อยของฉบับที่ผ่านมา ผ่านการทำงานที่โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยจะแก้ไขรัฐธรรมนูญบนหลักการ ที่เป็นไปได้มากที่สุด เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งใหม่ในสังคมไทย

 

นายเศรษฐา สรุปตอนท้ายว่า แม้ว่างบประมาณรายจ่ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น กว่าร้อยละ 11.9 ทำให้สามารถจัดสรรงบไปลงทุนได้กว่า 717,722.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 4.1 และสามารถชดใช้เงินคงคลังและชำระคืนต้นเงินกู้ได้กว่า 118,361.1 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งจะทำเป็นการเตรียมพร้อมทำให้รัฐบาลมีกรอบในการลงทุนในระยะกลางและยาวมากขึ้นในปีงบประมาณ 2568 อีกด้วย และการบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ลงทุนเพื่อสร้างการเจริญเติบโตของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเป็นไปตามกฎหมาย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"อุตุฯ" เผย "เหนือ-อีสาน-กลาง" อากาศเย็นตอนเช้า เตือนใต้ยังรับมือฝนตก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น