วันที่ 24 ม.ค. เวลา 12.00 น.ที่รัฐสภา นายถวิล เปลี่ยนศรี สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แถลงถึงการยื่นเรื่องขอให้อัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์ กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ว่า ในกรณีของตนมีหลายศาล หลังจากมีคำสั่งโยกย้ายตนได้ร้องศาลปกครองเมื่อปี 2554 และศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ตนชนะคดีจนได้รับการคืนตำแหน่ง ต่อมา สว.ได้มีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลมีคำวินิจฉัยให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ พร้อม ครม.ที่ลงมติ พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ต่อมาในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามมาตรา 157 และส่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนกระทั่งศาลยกฟ้อง แต่คดีนี้ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด เพราะตามกฏหมายสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งตาม กฏหมายผู้ที่จะสามารถยื่นอุทธรณ์คดีนี้ได้คืออัยการ และในขณะนี้ใกล้ครบกำหนด 30 วันคือวันที่ 26 ม.ค.นี้ ในการยื่นอุทธรณ์คดี
“ผมร้อนใจเพราะใกล้วันสิ้นสุดการยื่นอุทธรณ์ เมื่อกฎหมายเขียนเอาไว้ว่าสามารถจะไปให้ถึงที่สุดได้ ก็อยากให้เรื่องไปถึงที่สุด ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการเอาชนะคะคาน หรือเจ็บแค้นอะไรต่างๆ ส่วนตัวไม่มี และเมื่อวานนี้ (23 ม.ค.) ผมก็ได้ไปยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดแล้ว และในความเห็นผมคิดว่า คุณยิ่งลักษณ์และคณะ มีเจตนาพิเศษแน่นอน ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับญาติและพรรคพวกและมีเจตนาที่จะทำให้ผมเสียหาย แต่ว่าศาลยกฟ้อง ผมจึงเห็นว่าควรจะไปให้ถึงชั้นอุทธรณ์ ผมเหมือนนักมวยแม้ไม่ได้เป็นผู้ฟ้องเองแต่ก็เป็นผู้เสียหายในคดี เหมือนนักมวยที่เขาไปจัดชก อัยการก็เปรียบเหมือนโปรโมเตอร์ ที่จับผมไปชก ผมก็แพ้ในครั้งแรก ผมก็อยากจะแก้มือเพราะผมเป็นผู้เสียหาย เมื่อขอแก้มือเองไม่ได้ คนที่จะทำให้ผมแก้มือได้ในชั้นอุทธรณ์ ก็คืออัยการ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอัยการสูงสุดจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ ไม่ปล่อยให้คดีนี้จบไปในชั้นต้นโดยที่ยังมีความสงสัยกันอยู่” นายถวิล กล่าว